Investing.com - รอยเตอร์รายงานว่า ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นในวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากน้ำมันคงคลังในสหรัฐที่ลดลง ขณะที่นักลงทุนรอการตัดสินใจจากผู้ผลิตรายสำคัญว่า จะรักษาหรือผ่อนคลายมาตรการลดอุปทานในช่วงครึ่งหลังของปี
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์สำหรับเดือนกันยายนขยับขึ้น 17 เซนต์หรือ 0.2% สู่ 74.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเวลา 03:55 GMT ขณะที่สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ WTI สำหรับเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 73.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 21 เซนต์หรือ 0.3% ใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2561 ที่ 74.45 ดอลลาร์
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในเดือนมิถุนายนขณะที่เบรนท์เพิ่มขึ้นมากกว่า 8% แตะระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2018 เนื่องจากการเดินทางช่วงฤดูร้อนเพิ่มขึ้นและผู้คนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น
นักวิเคราะห์คาดการณ์การขาดดุลอุปทานทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากองค์การของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตรที่รู้จักกันในชื่อ OPEC+ ยังคงลดการผลิตในขณะที่ความต้องการเพิ่มขึ้น
กลุ่ม OPEC+ กำลังผ่อนปรนการลดอุปทานระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะประชุมกันในวันนี้เพื่อตัดสินใจว่าจะปล่อยการผลิตเท่าเดิมหรือเพิ่มกำลังการผลิต โดยอาจจะมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือ 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม ทางกลุ่มคาดว่าจะหารือกันด้วยว่า จะขยายข้อตกลงลดอุปทานออกไปเป็นหลังเดือนเมษายน 2022 หรือไม่
"การหารือระบุว่า รัสเซียกำลังเสนอให้เพิ่มอุปทาน ในขณะที่ซาอุดิอาระเบียต้องการแนวทางที่ระมัดระวังมากขึ้น" นักวิเคราะห์ของ ANZ กล่าวในรายงาน
นักวิเคราะห์จาก CitiBank กล่าวว่าปัจจัยพื้นฐานตลาดน้ำมันทั่วโลกน่าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำให้ลดการผลิตลดลง โดยเสริมว่าอุปทานของ OPEC จะพุ่งขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม
แม้จะพิจารณาถึงการเพิ่มผลผลิตจากกลุ่ม OPEC+ แล้ว CitiBank ก็ยังคาดว่าตลาดจะยังคงขาดดุลมากกว่า 3 ล้านบาร์เรลต่อวันตลอดไตรมาสที่สาม โดยมีความเป็นไปได้สูงที่น้ำมันเบรนท์จะแตะระดับ 85 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิดเดลต้าทำให้เกิดความกังวลว่า การฟื้นตัวของอุปสงค์อาจลดลง โดยมาตรการล็อคดาวน์และต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้กิจกรรมโรงงานในเอเชียลดลงในเดือนมิถุนายน
ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานเผยว่า ในสหรัฐอเมริกา ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น
การลดลงของน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิง รัฐโอคลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบของ WTI สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีนาคม 2020 ก็เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันเช่นกัน โดยทำให้น้ำมันเบรนท์มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020
ผลสำรวจจากรอยเตอร์ระบุว่า ในปีนี้ ราคาน้ำมันเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 67.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วน WTI อยู่ที่ 64.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ในเดือนพฤษภาคม