Black Friday Sale! ประหยัด สุดคุ้ม กับ InvestingProรับส่วนลดสูงถึง 60%

ตลาดหุ้นจีน ลงทุนได้ไหมในยุคหลัง Covid-19

เผยแพร่ 26/05/2563 16:34
US500
-
GOOGL
-
SETI
-
SSEC
-
GOOG
-

เมื่อย้อนกลับไปดูตั้งแต่สิ้นเดือนมี.ค. จนถึงปัจจุบัน ความจริงข้อหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ดัชนี CSI300 ของจีนรีบาวน์ ขึ้นมาเพียงแค่ 11.5% หากเทียบกับดัชนีอย่าง S&P 500 (+32%) หรือ SET Index (26%) บ้านเรา ก็ต้องถือว่าห่างไกลกันพอสมควร

อะไรที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนแพ้ตลาดสำคัญๆประเทศอื่นอย่างสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น หรือ แม้กระทั่งยุโรป ซึ่งยังมีรายการการแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อ Covid-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆที่ในจีนเอง สามารถควบคุมได้แล้ว และกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ค่อยๆทยอยฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติเร็วกว่าภูมิภาคอื่นเสียด้วยซ้ำ

เรามาลองดูปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นจีนในตอนนี้กัน

1. ในเกมส์การเมืองระดับโลกนั้น จีนตกเป็นเป้าถูกโจมตีอย่างหนักมาตลอดในสมัยของปธน.ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ นับตั้งแต่การเริ่มต้นขึ้นของสงครามการค้า (Trade War) เมื่อปี 2018 และเพิ่งจะตกลง Trade Deal Phase 1 ได้เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมาซึ่งผลจากสงครามการค้า ทำให้ฐานการผลิตบางส่วนต้องย้ายออกจากจีน เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีที่โดนตั้งขึ้น

2. การแพร่ระบาดของ Covid-19 ภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะต้องทบทวน ห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ที่จะเปลี่ยนแปลงไป จากก่อนหน้านี้ผลิตชิ้นส่วนในหลายประเทศ และส่งไปประกอบอีกประเทศหนึ่ง แต่หลังจากนี้เราจะเห็นการลด Supply Chain ให้สั้นลง ลดพึ่งพิงการผลิตแบบกระจายฐานการผลิตหลายประเทศมาอยู่ประเทศเดียว แน่นอนว่า เมื่อเกิดขึ้น ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกอย่างจีน เป็นผู้เสียประโยชน์จากการเปลี่ยนไปของ Supply Chain ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

3. ในสิ้นปีนี้ จะมีการเลือกตั้งทั่วไปสหรัฐฯ ซึ่งปธน.ทรัมป์ จะลงเลือกตั้งด้วย และเมื่อพิจารณาจากคะแนนเสียงจากโพลสำนักต่างๆ จะพบว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรค Democrat นำห่างทุกสำนัก เพราะชาวอเมริกันตั้งข้อสงสัยกับการแก้ปัญหาในวิกฤต Covid-19 ครั้งนี้ ทำให้ในช่วงโค้งสุดท้าย ปธน.ทรัมป์ น่าจะใช้กลยุทธ์สร้างศัตรูของชาติขึ้นมา 1 ตน เพื่อร่วมใจและเรียกคะแนนเสียงกลับมา

4. ก่อนหน้านี้ ช่วงปลายเดือนเม.ย. ผู้นำสหรัฐฯ ได้มีการกล่าวโทษจีนว่าเป็นสาเหตุของโรคระบาดใหญ่ (pandemic) ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปจำนวนมาก โดยให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า “จีนพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเขาแพ้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้”

5. สิ่งที่เราเห็นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นอีกหลักฐานอย่างหนึ่งว่า ศัตรูที่สหรัฐฯสร้างชึ้นมาคือใคร โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ค. วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมาย มีชื่อว่า Holding Foreign Companies Accountable Act ซึ่งจากข้อกฎหมายตัวนี้ บริษัทต่างชาติที่จะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐ จะต้องเปิดเผยผู้ถือหุ้นที่แท้จริงว่าเป็นใคร ขณะเดียวกันในงบการเงินบริษัทจะต้องผ่านการตรวจสอบของ PCAOB เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งหากร่างกม.นี้หากผ่านสภาคองเกรส จะมีผลทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐมีสิทธิถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ทันที

6. ซึ่งส่วนหนึ่ง มันก็มีเหตุผลอยู่บ้างเพราะ บริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วโลก เริ่มสร้างความกังวลให้เห็นจากปัญหาบรรษัทภิบาล ขณะที่มาตรฐานบัญชีในจีนนั้นยังไม่ได้มาตรฐานสากล กรณีฉ้อฉลต่างๆก็เกิดขึ้น อย่างกรณี Luckin Coffee ที่มีการตกแต่งยอดขายในช่วงที่ผ่านมา

7. นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ 22 พ.ค. ว่า จะขึ้นบัญชีดำบริษัทและสถาบันต่างๆ ของจีนอีก 33 แห่งในรายการ "entity list" เพื่อลงโทษที่เป็นสายลับสอดแนมเรื่องชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ให้กับรัฐบาลจีน หรือมีความเกี่ยวข้องกับอาวุธที่มีการทำลายล้างสูง และรับใช้กองทัพจีน โดย 1 ในบริษัทของจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำได้แก่ NetPosa ซึ่งเป็นบริษัท AI ที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน และมีบริษัทในเครือที่ใช้เทคโนโลยีในการจดจำใบหน้าสำหรับการสอดแนมชาวมุสลิม

8. ในวันเดียวกัน นายหวัง เฉิน รองประธานคณะกรรมาธิการประจำสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ได้เสนอกฎหมายใหม่ที่ระบุให้ฮ่องกงต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับย่อซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง โดยกม.นี้ จะให้อำนาจรัฐสภาของจีนในการจัดทำกรอบ และบังคับใช้เพื่อป้องกันและลงโทษการกบฎ การก่อการร้าย การแบ่งแยกดินแดน และการแทรกแซงของต่างชาติ หรือการกระทำใดๆ ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ

9. แน่นอนว่า ปธน.ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ย่อมไม่พอใจ โดยได้ออกมาเตือนก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐจะตอบโต้จีน หากจีนใช้มาตรการเพื่อจัดการกับผู้ประท้วง และจำกัดการเคลื่อนไหวตามระบอบประชาธิปไตยในฮ่องกง

10. ทางด้านกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง ได้เชิญชวนให้ผู้คนออกมาประท้วงต่อต้านกฎหมายความมั่นคงที่เพิ่งประกาศ โดยกลุ่มแนวร่วมพลเมืองสิทธิมนุษยชน (Civil Human Rights Front) ได้เปิดเผยความตั้งใจที่จะจัดการชุมนุมครั้งใหญ่เร็วๆนี้ ซึ่งข่าวนี้ ก็ทำให้ดัชนี Hang Seng ร่วงไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาถึง -5.5%

11. ผลกระทบของการเดินเกมส์ของสหรัฐฯกับจีน ก็เกิดขึ้นอีกระลอกแล้วคือ นายบอริส จอห์นสัน นายกฯอังกฤษ ได้ขอให้เจ้าหน้าที่อังกฤษจัดทำแผนการที่จะลดความเกี่ยวข้องในโครงข่ายสื่อสารไร้สายระบบ 5G กับ Huawei ของอังกฤษลงโดยสิ้นเชิงภายในปี 2023 ใช้กรณีการลดพึ่งพาจีนเป็นหนทางที่จะส่งเสริมการเจรจาการค้ากับสหรัฐ หลังจากที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปเพื่อหาทางรอดให้เศรษฐกิจตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯได้ใส่รายชื่อบริษัท Huawei และ ZTE ว่าเป็นบริษัทที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถใช้งาน Google (NASDAQ:GOOGL) Services รวมถึงแอปและ Google Play Store ได้

จะเห็นว่า ในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา และยิ่งในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา จีนโดนถล่มเป็นตำบลกระสุนตกแทบจะเพียงผู้เดียวในเกมส์เศรษฐกิจโลก นั่นก็เป็นเพราะจีนกำลังท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ กลายเป็นผู้ท้าชิงที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดในชั่วโมงนี้ และสหรัฐฯเองก็ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาดุลอำนาจที่ตนเองสะสมมาอย่างยาวนานไม่ให้แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาอย่างที่มหาอำนาจในอดีตพบเจอกันมาตลอด

ถ้าถามว่า ตลาดหุ้นจีน ที่เจอปัจจัยลบแบบนี้เยอะๆ ถือว่าลงทุนได้ไหม?

เราคงต้องหวังในระยะยาว และการที่บริษัทในจีนจะโตได้ในระดับโลก (Global Scale) นั้น ดูจะมีความเสี่ยงและข้อจำกัดเยอะขึ้น ซึ่งหากมองตีความจากการประชุม NPC ในช่วงที่ผ่านมา ก็พบว่า จีนไม่มีการแถลงนโยบายด้านต่างประเทศเลย และเน้นย้ำเรื่องการให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานในประเทศเป็นหลัก

มันก็พอทำให้เห็นภาพว่า ยุคแห่ง Globalization ได้ถึงจุดสิ้นสุดโดยสมบูรณ์แล้วด้วยวิกฤต Covid-19 เป็นปัจจัยกระตุ้นตัวสุดท้าย

และโลกหลังจากนี้ ก็ต้องเลือกมากขึ้นว่า จะอยู่ข้างจีน หรือ ข้างสหรัฐฯกันแน่

จริงๆ ถ้าดูที่กำไรของหุ้นในดัชนี CSI 300 จะเห็นว่าถูกปรับลดลงน้อยที่สุดเทียบกับตลาดอื่นๆบนโลก Valuation ก็ไม่ได้เทรดกันบน P/E ที่แพงอย่างน่าเกลียดในหลายๆตลาดแค่ 12.3 เท่า ขณะที่ P/B อยู่ที่ 1.7 เท่า สูงกว่าจุดต่ำสุดในรอบ 7 ปี เพียงแค่นิดเดียว มองแบบนี้ ใครอยากจะสะสมหุ้นจีนในระยะยาว ก็คงทำกันต่อไป

แต่ถ้ามองความเสี่ยงที่จะเจอนโยบายอะไรอัดใส่จากฝั่งสหรัฐฯละก็ จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งสหรัฐฯในเดือนพ.ย. ผมแนะนำว่า เรานั่งมองอย่างใจเย็นๆไปก่อน ก็ไม่เสียหายอะไรนะครับ

Mr.Messenger รายงาน

บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกบนเพจ MrMessengerDiary

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย