ปัจจัยลบที่อาจทำให้ SET ลงมาต่ำกว่า 1500 จุดใน Q3/21
ยังคงมีความคาดหวังจากนักลงทุน กูรู ผู้รู้ ว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสขึ้นไปได้ถึง 1700-1800 จุดในครึ่งปีหลัง หรือ ต้นปีหน้า แต่ความคาดหวัง หลายๆครั้งก็ไม่ได้ใกล้เคียงความจริงที่เกิดขึ้น ด้วยตลาดมีความผันผวนตลอดเวลาไปตามปัจจัยต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เราจึงควรใช้ข้อมูลวิเคระห์ ทั้ง เทคนิคอล ฟันดาเมนทอล และฟันด์โฟลว์ประกอบการตัดสินใจ หากใช้ข้อมูลอ้างอิงราคาปิดสิ้นวัน 6 ก.ค.64 อ่านได้ดังนี้
เทคนิคอล
สัญญาณ TD SEQUENTIAL ที่ใช้หาแนวโน้มขึ้นอ่อนกำลัง เพื่อระมัดระวังการพักตัว หรือ กลับตัวที่เกิดขึ้น 3 ครั้งก่อนหน้า ให้ผลดังนี้
สถิติการพักตัวแรงของ SET หลังสัญญาณ TD SELL 8 & 9
พ.ค. 2556 หลังเกิดสัญญาณ ปู่เซทพักตัว -396.84 จุด
พ.ย. 2557 หลังเกิดสัญญาณ ปู่เซทพักตัว -381.32 จุด
ก.พ. 2561 หลังเกิดสัญญาณ ปู่เซทพักตัว -883.43 จุด
มิ.ย. 2564 เกิดสัญญาณ TD SELL #8 ในที่นี้มีผลตั้งแต่แท่งที่ #8 แล้ว
ก.ค. 2564 รอยืนยัน TD SELL #9 เมื่อปิดสิ้นเดือน ก.ค. > 1587.21
NOTE: เราไม่จำเป็นต้องรอการยืนยันสัญญาณ TD SELL #9 เพราะมันมีผลตั้งแต่แท่งที่ 8 แล้ว ในรูปแบบ reversal นี้ ยิ่งกว่านั้นการปิดต่ำ 1560 จุด ต่อเนื่อง จะสร้างโมเมนตัมเชิงลบให้ตลาดลงแรงและเร็วอย่างต่อเนื่อง
สัญญาณ TD SELL SET UP ที่เกิดขึ้น 3 ครั้งก่อน มิ.ย.64 เตือนเราให้ระมัดระวังการพักตัวในกรอบ 400-900 จุด ซึ่งแน่นอนว่า หากเกิดขึ้นย่อมสร้างความเสียหายต่อนักลงทุนจำนวนมากที่มั่นใจว่าตลาดจะขึ้นไปในกรอบ 1700-1800 และไล่ซื้อหุ้นบริเวณดัชนี 16xx จุด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET50/100
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า volume ซื้อขายลดลงจากระดับใกล้ 1 แสนล้านเหลือเพียงครึ่งเดียว หุ้นที่ยัง active ในเชิงบวกเป็นกลุ่มตัวเล็ก-กลาง ที่หลายๆตัว ไม่มีผลประกอบการรองรับ สุดท้ายเรามักพบว่าราคาที่ขึ้นมานั้นคือการทำราคาเพื่อการเพิ่มทุน ในที่สุดผลจากการเพิ่มทุนจะเกิด dilution effect ทำให้นักลงทุนที่ไล่ราคาซื้อหุ้นเหล่านี้ขาดทุนเป็นจำนวนมาก
หันไปดูตลาดอนุพันธ์ประกอบ ยอดซื้อสะสมของนักลงทุนรายย่อยใน Single Stock Futures จำนวน 1,198,331 สัญญา ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจของนักลงทุนรายย่อย ที่ได้รับการบอกเล่าเป้าหมายในกรอบ 1700-1800 ว่าตลาดจะต้องขึ้นไปต่อเนื่อง
การสะสม Single Stock Futures ของนักลงทุนรายย่อยกว่าล้านสัญญา คือ การซื้อหุ้นผ่านตลาด
อนุพันธ์ใช้เงินน้อยแทนเงินมากกว่า 10 เท่า หากตลาดไม่ไปต่อ หุ้นที่ทางคู่สัญญาหรือโบรกเกอร์ทำการ
Hedging ไว้กับ SSF จะถูกขายออกมาตามกลไกทำให้ตลาดหุ้นลงได้เร็วและแรง....พึงระวังจุดนี้
หากเกรงว่าตลาดจะลงแรง ก็ทยอยซื้อประกันทางลงด้วย SET 50 OPTIONS เป็น Long Put Options Series จะช่วยให้รอดปลอดภัยหากตลาดหุ้นไทยเทแรงตามสัญญาณเชิงลบที่เกิดขึ้น S50U21 P975/950/925
NOTE: ก่อนซื้อให้น้องมาร์ที่ดูแลช่วยแนะนำ
ความน่ากังวลที่ต้องระวังในขณะนี้ รายย่อยสะสม Long SSF ไว้จำนวนมาก โดยคาดการณ์ว่าตลาดจะขึ้นต่อเนื่อง บ้างกล่าวถึงเป้าหมายดัชนี 1700-1800 จุด แต่อะไรจะเกิดขึ้นหากคุณไม่ได้ไปต่อ
เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงลดลง ผู้ถือสถานะ Long SSF จะขาดทุนตามขนาดของ leverage เช่นเดียวกับเมื่อตอนได้กำไร
ส่งผลให้ทางโบรกคู่สัญญาเรียกหลักประกันเพิ่ม เอาให้เข้าใจง่ายคือโบรกเรียกเติมเงิน หากคุณยังไม่ปิดสถานะ และยังผิดทางไปเรื่อยๆ ก็ต้องเติมเงินไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะถึงจุดที่เติมไม่ไหว
ขั้นต่อไปคือการถูกบังคับปิดสถานะ เมื่อ Long SSF ของนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากถูกบังคับปิดสถานะ ทางโบรกก็จะทำการขายหุ้นอ้างอิงที่ซื้อไว้ Hedging ออกมาพร้อมกัน ทำให้ตลาดปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
เนื่องจาก SSF หรือ Single Stock Futures ในปัจจุบันแล้วถูกทำการซื้อขายในรูปแบบ Block Trade มากกว่าการซื้อขายในกระดาน ทำให้ต้องทำความเข้าใจกับกลไกของสินค้าอนุพันธ์ที่มีผลต่อราคาหุ้น
"Block trade คือการเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้ลงทุน เป็นการเทรดหุ้นที่มี Leverage ระดับ 10-20 เท่าของมูลค่าเงินลงทุน
เช่น ถ้าต้องการซื้อหุ้น XXX ราคา 500 บาทต่อหุ้น จำนวน 2 หมื่นหุ้น ปกติต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมด 10 ล้านบาท แต่หากซื้อผ่าน Block trade ก็แค่สั่งซื้อ SSF ที่อ้างอิงหุ้น XXX โดยวางเงินประกันตามที่ตลาด TFEX กำหนด ซึ่งหุ้นอ้างอิงแต่ละบริษัทวางเงินประกันไม่เท่ากันตามอัตราที่ตลาด TFEX ประกาศออกมา
โดยเฉลี่ยขั้นต่ำปัจจุบันอยู่ที่ราว 10% ของมูลค่าจริง เท่ากับต้องวางเงินเพียง 1 ล้านบาท แต่ถือครองหุ้นเทียบเท่ากับมูลค่า 10 ล้านบาท
ซึ่งหากราคาหุ้น XXX เพิ่มขึ้นเป็น 550 บาท ถ้าซื้อบนกระดานจะได้กำไร 1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% จากเงินต้น 10 ล้านบาท
แต่หากซื้อผ่าน Block trade ก็จะได้กำไรเท่ากัน แต่ใช้เงินต้นเพียง 1 ล้านบาท คิดเป็นกำไรถึง 100%"
ส่วน โบรก จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายในอัตราตายตัวที่ 0.1% หรือ ล้านละ 1,000 บาท และรายได้ดอกเบี้ย อัตราเฉลี่ยขั้นต่ำของอุตสาหกรรมอยู่ที่ราว 5.5% ต่อปี คิดตามจำนวนวันถือครองจริง แต่มีขั้นต่ำ 4 วัน ไม่ได้ทำกำไรจากการขึ้นหรือลงของสินค้า
ก็ขอฝากคำเตือนมายังเพื่อนนักลงทุนด้วยความห่วงใย “ตกรถยังเหลือเงินสดในมือ แต่ตกเหวในภาวะเช่นนี้ อาจถึงขึ้นหมดตัวออกจากตลาดไปก็เป็นได้ นะครับ”