ดัชนีการล้มละลายของบริษัทสหรัฐ ยังชี้ให้เห็นว่า #วิกฤตหนี้เสีย ครั้งนี้คงยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 และทาง Goldman Sachs ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
สิ่งที่ตลาดทราบกันอย่างดีแล้วในทุกวันนี้คือการที่ #ตลาดหุ้นและสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นกำลังไปในคนละทิศทางกัน
แต่นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกตราบใดที่วิกฤตครั้งนี้จะไม่ได้ส่งผลให้เกิดคลื่นหนี้เสียแบบลูกโซ่ไปทั่วประเทศสหรัฐหรือลุกลามไปในที่อื่นๆของโลก
เพราะด้วยสภาพคล่องและเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐอัดฉีดเข้ามาเพื่อประครองหนี้เสียต่างๆนั้น หากสามารถพยุงให้บริษัทต่างรอดพ้นวิกฤตหนี้เสียครั้งนี้ไปได้ ตลาดหุ้นก็ไม่ควรจะกังวลอะไรมากเกินไป เพราะถ้าจะเทขายทั้งๆที่ไม่มีวิกฤตหนี้เสีย เดี๋ยวก็ต้องมีแรงเงินสดเข้ามาซื้อหุ้นให้ดีดกลับขึ้นมาทีหลังอยู่ดี หรือเดี๋ยวถ้าวัคซีนมา ก็จะเข้ามาช่วยทำให้ทุกอย่ากลับเป็นปกติเร็วขึ้นในไม่ช้า
ทำให้ตลาดกำลังอยู่ในสภาพที่ว่า ถ้าคนข้างๆเราในตลาดไม่มีใครขายหุ้นทิ้งเราก็จะไม่ขายทิ้งไปด้วย (แต่ถ้าคนข้างๆอื่นเริ่มขายกันหมดก็เชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะขายตาม)
ทำให้คำถามที่นักลงทุนพยายามหาคำตอบกันหลายคนคือ #แล้วบริษัทในสหรัฐจะล้มละลายกันมากน้อยแค่ไหน ? ด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
U.S. Bankruptcy Index - ดัชนีการล้มละลายของบริษัทสหรัฐ
เนื่องจากข้อมูลทางการเงินของสหรัฐนั้นมีรายงานกันอย่างละเอียดมาก จึงมีดัชนีตัวนึงที่ใช้ชี้วัดถึงจำนวนการล้มละลายของบริษัทสหรัฐเลยโดยตรง
โดยทาง Bloomberg จะทำการนับจำนวนบริษัทสหรัฐที่มีขนาดหนี้สินที่มากกว่า 50 ล้านเหรียญไป ($50 million in reported liabilities) ว่ามีใครประกาศล้มละลายไปกันแล้วบ้าง
ตัวเลขล่าสุดพบว่ามีบริษัทขยาดใหญ่ที่ประกาศล้มละลายมีเพิ่มขึ้นเป็น 229 บริษัทในสัปดาห์ล่าสุด เมื่อเทียบกับจำนวนประมาณ 81 บริษัทในสิ้นปีที่แล้ว ซึ่งถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นและสูงที่สุดในรอบ 10 ปี แต่ตัวเลขก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดที่เคยพบมาที่ 773 บริษัทในเดือนมิถุนายน ปี 2009 ในช่วง Subprime Crisis ทำให้ความรุนแรงของวิกฤตหนี้ในครั้งนี้ไม่น่าหนักเท่ากับในช่วงปีนั้น (กราฟแนบในคอมเม้นท์)
FED จะมีการประชุมวันที่ 15-16 ก.ย. นี้
ต้องบอกว่า FED #ทำหน้าที่ได้ดีมากในวิกฤตครั้งนี้ บริษัทสหรัฐส่วนใหญ่ที่ประกาศล้มละลายไปนั้น ส่วนมากจะมาจากปัญหาทางธุรกิจเองที่ไม่สามารถดำเนินงานหรือทำกำไรต่อไปได้ภายใต้สถานการณ์ New Normal หลังไวรัสระบาด แต่ไม่มีบริษัทไหนเลยที่ล้มละลายเพราะต้นทุนทางการเงินสูงเกินไป แสดงว่ามาตรการอัดฉีดและลดดอกเบี้ยของ FED นั้นได้ผลค่อนข้างดี
ต้องติดตามรายงานการประชุมของ FED กลางอาทิตย์นี้ต่อไปว่า นอกจากจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.0-0.25% ตามคาดแล้วจะมีมาตรการอะไรออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ ?
หลังจากที่ทางประธานธนาคารกลาง Jerome Powell ได้เคยกล่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า FED พร้อมจะปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้า 2% ที่คงมาตลอดได้ในบางเวลา และติดตามกันว่าตัวเลขคนว่างงาน Unemployment rate ของสหรัฐที่ลดลงมาต่ำถึง 8.4% แล้วจะมาเปลี่ยนนโยบายอะไรของ FED หรือไม่ ?
Goldman Sachs มองว่า GDP ไตรมาสที่ 3 ของสหรัจะดีดกลับสูงถึง +35%
อีกหนึ่งวานิชยกิจที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วก็คือ Goldman Sachs นั้นเองที่เพิ่งออกรายงานออกมาว่า GDP ไตรมาสที่ 3 ของสหรัจะดีดกลับแรงถึง +35% ถือว่าสามารถเรียกแรงความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาได้ดีทีเดียวในอาทิตย์นี้
#ทันโลกกับTraderKP
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP