Investing.com - ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในตลาดเอเชียวันนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนต่างรอสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ และมีความระมัดระวังก่อนการประชุม OPEC+ ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
ราคาน้ำมันยังคงเผชิญกับการขาดทุนจากสัปดาห์ก่อน หลังอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ตอบตกลงในข้อตกลงการหยุดยิง ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดในตะวันออกกลางลง อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ยังคงทำให้เกิดค่าพรีเมี่ยมความเสี่ยงในตลาด
น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ทรงตัวที่ 71.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส ขยับลง 0.1% มาเป็น 67.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 08:33 น. (GMT+7)
จับตาการประชุม OPEC+ หาสัญญาณเกี่ยวกับกำลังการผลิต
องค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) มีกำหนดการณ์จะจัด การประชุม ในวันที่ 5 ธันวาคม
โดยตลาดคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่ากลุ่ม OPEC+ จะเลื่อนแผนการเพิ่มปริมาณการผลิตออกไปอีก เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง และความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลงก็ยังคงมีอยู่
ปีนี้ OPEC+ ได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันหลายครั้ง โดยชี้แจงว่าจีนยังคงเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกยังคงชะลอตัว
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะแสดงถึงการปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่นักวิเคราะห์ก็เตือนว่าปักกิ่งจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีก
เงินดอลลาร์แข็งค่ากดดันตลาดน้ำมัน
การแข็งค่าของ เงินดอลลาร์ ยังคงกดดันตลาดน้ำมันในสัปดาห์นี้ เนื่องจากค่าเงินพุ่งสูงขึ้นหลังจากว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเก็บภาษีที่สูงต่อกลุ่มประเทศ BRICS
ตลาดยังคงรอรายงานเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางการบริโภคเชื้อเพลิงของประเทศผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
ข้อมูล การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ คาดว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดแรงงานที่อาจเริ่มชะลอตัว และยังมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย
เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐหลายคนก็มีกำหนดการณ์จะขึ้นกล่าวแถลงการณ์ในสัปดาห์นี้ ก่อนการประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคม แม้ธนาคารกลางคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% แต่ตลาดก็ยังคงไม่แน่ใจกับแนวโน้มในระยะยาวของอัตราดอกเบี้ย