การที่ทรัมป์ยังคงเงียบเรื่องอิหร่านไม่น่าจะส่งผลดีกับตลาดน้ำมัน

เผยแพร่ 16/07/2562 14:58

โดยทั่วไปแล้วความเงียบมักจะเป็นสิ่งที่ดีเสมอ แต่ความเงียบจากประธานาธิบดีผู้ชื่นชอบการทวิตข้อความเป็นชีวิตจิตใจนั้นน่าจะทำให้เกิดความกังวลมากกว่าความสบายใจอย่างแน่นอน

สำหรับนักลงทุนที่เปิดสถานะ long น้ำมันดิบเอาไว้โดยเชื่อมั่นว่าความตึงเครียดในอิหร่านน่าจะยังเป็นกำลังหนุนให้ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ ยืนเหนือระดับ $65 ได้ แต่สิ่งที่กลับเป็นเรื่องน่ากังวลกว่าคือความนิ่งเฉยของโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะตอบสนองความต้องการในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาการคว่ำบาตรกับอิหร่าน

เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นนั้นทำให้ทรัมป์รู้สึกอย่างไร

หากทำได้ ทรัมป์ย่อมต้องการให้ราคาน้ำมันถูกลง

ในช่วงปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีการทวิตข้อความต่อต้านการปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากโอเปกต้องการจำกัดปริมาณน้ำมันเพื่อดึงราคาให้สูงขึ้น ในขณะที่ปีนี้ ทรัมป์ไม่ค่อยได้ทวิตเช่นนั้นแล้ว เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยคุมไม่ให้ราคาน้ำมันอยู่หลายอย่าง เช่น สงครามทางการค้ากับจีน รวมทั้งความกังวลในด้านความต้องการน้ำมันที่ลดลง หากไม่มีปัจจัยดังกล่าวมาสนับสนุน ทรัมป์ก็คงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงอย่างแน่นอน

ความต้องการที่จะให้ราคาน้ำมันถูกลงของทรัมป์นั้นแทบไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป ข้อมูลที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันที่แพงนั้นไม่ส่งผลดีกับการหาเสียงเลือกตั้งสำหรับประธานาธิบดีอย่างแน่นอน และทรัมป์ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 16 เดือนในการที่จะพยายามครองตำแหน่งนี้ให้ได้เป็นสมัยที่สอง

WTI Weekly Chart

นายจอห์น เคมพ์ นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวรอยเตอร์เขียนไว้ในคอลัมน์เมื่อปีที่แล้วว่าราคา น้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่เคยต่ำกว่า $30 ต่อบาร์เรลในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 ไปอยู่สูงกว่า $70 ในเดือนกรกฎาคม 2018 ช่วยให้รัฐเท็กซัส โอกลาโฮมา นอร์ทดาโคตา และรัฐอื่นๆ ที่ผลิตน้ำมันมีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

นายเคมพ์กล่าวว่า

"แต่ประชาชนในรัฐดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน"

"ประธานาธิบดียังคงให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคจากการที่ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินแพงขึ้นโดยเฉพาะในรัฐที่มีเสียงสนับสนุนพรรคการเมืองทั้งสองพรรคใกล้เคียงกัน"

ในมุมมองของทําเนียบขาว ราคาที่เหมาะสมจะต้องไม่ต่ำเกินไปจนทำให้เกิดปัญหากับรัฐที่เป็นผู้ผลิต และในขณะเดียวกันก็ไม่ควรสูงเกินไปจนทำให้เกิดผลกระทบกับรัฐอื่นๆ ที่อยู่ในฐานะผู้บริโภคด้วยเช่นกัน

ในอดีตที่ผ่านมา ทรัมป์เคยแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการควบคุมราคาและปริมาณการผลิตน้ำมันของโอเปกหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งบังเอิญว่าล่าสุดโอเปกก็ได้ตัดสินใจที่จะขยายระยะเวลาข้อตกลงการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันต่อวันลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันไปจนถึงเดือนมีนาคม 2020

...แต่ทรัมป์ต้องการให้โอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีการตั้งคำถามกับประธานาธิบดีว่าต้องการให้โอเปกผลิตน้ำมันเป็นปริมาณเท่าใด ท่านตอบว่า “ผมคิดว่าจริงๆ แล้วควรจะผลิตเพิ่มขึ้นอีกวันละ 2 ล้านบาร์เรล"

และในระหว่างที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ทวิตข้อความว่า

“ไม่เห็นว่าพวกเขาจะช่วยเหลืออะไรในเรื่องราคาแก๊สที่แพงขึ้นเท่าไหร่เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องให้ความร่วมมือกันมากกว่านี้ หยุดกำหนดราคาได้แล้ว!”

ยังคงเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าผู้ที่ประธานาธิบดีอ้างถึงทุกครั้งที่ใช้คำว่า “พวกเขา” นั้นหมายถึง ซาอุดิอาราเบีย

ในฐานะที่เป็นประเทศผู้นำของกลุ่มโอเปก ซาอุดิอาราเบียจึงจำเป็นต้องควบคุมราคาและความมั่นคงของน้ำมันที่ผลิตและส่งออกให้ได้ สิ่งนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในขณะนี้เนื่องจากประเด็นความขัดแย้งของอิหร่านอาจส่งผลเสียกับประเทศที่เหลือในกลุ่มโอเปกซึ่งก่อนหน้านี้กำลังมีความสุขกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ ใช้กับอิหร่านในช่วงปีนี้

ทรัมป์ได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างการคว่ำบาตรอิหร่านกับนโยบายการผลิตของซาอุดิอาราเบียไว้อย่างชัดเจนในการให้สัมภาษณ์กับช่อง Fox

สหรัฐฯ จะตอบโต้การกระทำของอิหร่าน ผู้ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักในพื้นที่ของซาอุดิอาราเบีย โดยการใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดและใช้กำลังทหารของสหรัฐฯ คุ้มครองความปลอดภัยให้กับพื้นที่กลุ่มประเทศบริเวณอ่าวอาหรับทั้งหมด และซาอุดิอาราเบียก็จะควบคุมไม่ให้ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มสูงขึ้นเป็นการตอบแทน

การหักมุมที่น่าสนใจเกิดขึ้นจากการที่อิหร่านต้องการเจรจากับรัฐบาลของทรัมป์ หลังจากที่ตกอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมมาเป็นเวลาหนึ่งปี รวมทั้งการเรียกร้องความสนใจของทั้งสองประเทศซึ่งมาปะทุอีกครั้งจากเหตุการณ์ที่มีการยิงโดรนลาดตะเวนของสหรัฐฯ ตกเมื่อไม่นานมานี้

นายโมฮัมเหม็ด จาวาด ซาริฟ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอิหร่านเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่าอิหร่านต้องการเจรจามากกว่าการก่อศึกกับสหรัฐฯ แต่นายซาริฟก็ได้ย้ำถึงเงื่อนไขที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานีได้กำหนดเอาไว้ในช่วงสุดสัปดาห์ว่า สหรัฐฯ จะต้องหยุดใช้มาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดกับอิหร่านเสียก่อน การเจรจาดังกล่าวจึงจะเริ่มต้นขึ้นได้

อิหร่านสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ทรัมป์จำเป็นต้องตกปากรับคำทีจะเปิดโต๊ะเจรจากับอิหร่านเนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันทีจะมีมากขึ้นถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันตามที่ต้องการนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม หลังจากที่ได้ลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์แต่แรกเริ่มในปี 2015 กับรัฐบาลในยุคของนายโอบามาและประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ทั่วโลก อิหร่านเคยผลิตน้ำมันได้สูงสุดถึง 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ในความเป็นจริงแล้ว ก่อนที่อิหร่านจะยื่นข้อเสนอดังกล่าวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์เคยเชิญให้อิหร่านมาร่วมโต๊ะเจรจาในทำนองเดียวกันนี้แล้วเช่นกัน กล่าวคือไม่ใช่การทำสงครามแต่เป็นการพูดคุยทางการทูตมากกว่า

การเปิดโต๊ะเจรจากับอิหร่านในครั้งนี้จะทำให้ทรัมป์บรรลุวัตถุประสงค์ได้สองข้อคือ ทำให้ราคาน้ำมันลดต่ำลงและมีโอกาสที่จะแก้ไข “ข้อผิดพลาด” ในสมัยที่ประธานาธิบดีโอบามาเคยทำไว้

เมื่อมีการประกาศผลการเจรจา ราคาน้ำมันอาจร่วงลงไปอย่างน้อย $5 ต่อบาร์เรล

หากทรัมป์ตอบรับข้อเสนอของอิหร่าน ราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวลดลงไปอย่างน้อย $5 ต่อบาร์เรล และหากราคามีการฟื้นตัวขึ้นเมื่อใดก็หมายความว่าอิหร่านใกล้ที่จะลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์เวอร์ชัน 2.0 เต็มทีแล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ก็น่าจะยินดีที่ "ข้อตกลงระหว่างทรัมป์กับอิหร่าน” น่าจะส่งผลดีกับทั่วโลกได้มากกว่าข้อตกลงที่โอบามาทำไว้ในปี 2015 ซึ่งทรัมป์เรียกว่าเป็น "ข้อตกลงที่แย่ที่สุดที่เคยมี"

การยอมรับในเงื่อนไขของอิหร่านอาจถูกมองว่าเป็นจุดอ่อน

หากมีการยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของประธานาธิบดีรูฮานีในการเจรจาครั้งนี้ก็ถือว่าทรัมป์ตกอยู่ในกำมือของอิหร่านเช่นกัน เพราะอิหร่านต้องการที่จะส่งออกน้ำมันให้ได้ก่อน แล้วค่อยหันมาดูเรื่องกฎข้อปฏิบัติและเงื่อนไขทางการเมืองอื่นๆ ที่สหรัฐฯ กำหนดในภายหลัง

การยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของทรัมป์ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีคนในรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วยและทำให้การทำข้อตกลงกับอิหร่านยากขึ้นไปอีกจนอาจทำให้ต้องล้มเลิกการเจรจาไปในภายหลังก็เป็นได้ และการที่จะกลับมาบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรใหม่อีกครั้งก็อาจจะให้ผลได้ไม่ดีเท่าเดิม

นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยแล้วว่าเขาไม่พอใจในเงื่อนไขในข้อตกลงของประธานาธิบดีรูฮานีเลย แม้ว่าจะทราบดีว่าทรัมป์ก็ “คงจะยอมทำตาม”

ในขณะที่ทั่วโลกยังคงเฝ้ารอว่าทรัมป์จะทวิตหรือตอบกลับในเรื่องนี้อย่างไรนั้น เรายังเชื่อว่าเขาจะทำในสิ่งที่จะเป็นการช่วยส่งเสริมการหาเสียงทางการเมืองมากกว่าการช่วยชาวโลกอยู่ดี

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย