สัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส จะกลับมายืนต่ำกว่า $50 และ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ จะพบแนวรับที่ $60 หรือไม่?
หากเกิดขึ้นตามนั้นได้จริงก็ไม่น่าแปลกใจและยังมีความน่าสนใจแฝงอยู่เช่นกัน
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ทะลุแนวรับลงไปต่ำกว่า $55 ต่อบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้จุดทดสอบเชิงตรรกะในระดับถัดไปอยู่ที่ $50 ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบมาตรฐานในฝั่งของสหราชอาณาจักร อีกเพียง 56 เซ็นต์ก็จะหลุดลงไปต่ำกว่าระดับ $60 ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่จะเห็นตลาดน้ำมันปรับตัวลงทำราคาต่ำสุดกันอีกครั้งในช่วงสัปดาห์นี้
สร้างกราฟทั้งหมดด้วย TradingView
แต่ก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ว่าตลาดจะลงไปทำจุดต่ำสุดได้จริงหรือไม่ เนื่องจากในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของปี 2019 ที่ $66.60 ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ก็ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของปีได้ที่ $75.60 ราคาที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการปรับลดกำลังการผลิตของประเทศในกลุ่มโอเปคและมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันที่สหรัฐฯ ใช้กับเวเนซูเอลาและอิหร่าน จึงทำให้ราคาน้ำมันในปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 40%
แน่นอนว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้ดีอย่างตอนนั้น เนื่องจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังคงดุเดือด อีกทั้งยังมีการเรียกเก็บภาษีกับเม็กซิโกที่ประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งประกาศใช้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ราคาน้ำมันจึงขึ้นอยู่กับสงครามการค้ามากกว่าการปรับลดการผลิตของกลุ่มโอเปค
ในขณะที่โอเปคอาจตัดสินใจประกาศลดการผลิตน้ำมันลงอีกในการประชุมที่จะเกิดขึ้นกลางปีนี้เพื่อเป็นการทำให้สถานการณ์ตลาดดีขึ้น ซาอุดิอาราเบียซึ่งเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มก็เริ่มประสบปัญหาในการโน้มน้าวรัสเซียซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรให้ผลิตน้ำมันตามแผน นายจูเลียน ลี คอลัมนิสต์ด้านน้ำมันจาก Bloomberg กล่าว
ลีกล่าวถึงโอเปคเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า
“หากต้องการกำหนดราคาน้ำมันขั้นต่ำเอาไว้ให้ได้ กลุ่มโอเปคจำเป็นต้องแสดงศักยภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ในขณะนี้ทางกลุ่มเองก็ยังคงมีปัญหาภายในกันอยู่ แม้ว่าจะมีแนวทางปฏิบัติแล้วก็ตาม”
นายดอมินิค คิริเชลลา ผู้บริหารแผนกความเสี่ยงและการค้าของสถาบันจัดการพลังงานประจำกรุงนิวยอร์คกล่าวว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงส่งผลกับราคาน้ำมันในเดือนที่ผ่านมาอย่างมากจนทำให้การปรับลดการผลิตของโอเปคและความเสี่ยงทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองแทบไม่มีผล
คิริเชลลากล่าวว่า
“ตลาดสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องตลอด 5 สัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างหนัก ซึ่งทำให้เกิดผลเสียกับตลาดน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในวงกว้างด้วย"
สุภาษิตที่ว่า “ขายในเดือนพฤษภาคม แล้วไปทำอย่างอื่น” ก็ยังคงพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง เนื่องจากดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในเดือนที่ผ่านมาเพียง 6% เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสที่ปรับลดลง 16% และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ลดลงไป 11%
สถานการณ์ในวันจันทร์ก็ยังคงไม่ดีขึ้น ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสยังปีนขึ้นมาได้ไม่ถึง $40 โดยขาดไปไม่ถึง 3$ ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ก็ยังขาดอีกเพียงเกือบ $2 ก็จะลงต่ำกว่า $50
เมื่อพิจารณาข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญ ราคาน้ำมันดิบทั้งสองแห่งทะลุลงไปต่ำกว่าเส้น MA สำคัญๆ ทั้งหมด โดยร่วงจากเส้น 200 DMA ไปอยู่ใต้เส้น 5 DMA หากพิจารณาจากค่าเงินดอลลาร์ ราคาน้ำมันลดลงไปกว่า $14 ต่อบาร์เรล จากที่ได้ปรับตัวขึ้นมานับตั้งแต่คริสต์มาสอีฟปีที่แล้วประมาณ $24 ซึ่งเป็นจุดที่มีการเทขายมากที่สุดทำให้ราคาลดลงไปต่ำที่สุดของปี 2018 ซึ่งนับว่าเป็นการปรับตัวลงไปเกือบ 60%
ปัญหาสงครามการค้าไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่ฉุดราคาน้ำมันให้ต่ำลง แต่ปริมาณความต้องการก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรด้วยเช่นกัน
ปริมาณ น้ำมันดิบสำรอง ของสหรัฐฯ ลดลงเพียง 0.28 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 พฤษภาคม เมื่อเทียบกับตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.86 ล้านบาร์เรล ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการเก็บน้ำมันสำรองอย่างต่อเนื่องจำนวน 5.0 ล้านบาร์เรล
การที่ตลาดน้ำมันจะเป็นขาขึ้นได้ต้องอาศัยโรงกลั่นที่ดำเนินการอย่างเข้มแข็ง ประกอบกับต้องมีความต้องการใช้น้ำมันเบนซินที่มากพอในช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้ด้วย แต่โรงกลั่นมีการชะลอการซื้อน้ำมันดิบลงในช่วงฤดูร้อนนี้เนื่องจากมีกำไรจากการผลิตน้ำมันเบนซินลดลงราว 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ด้านธนาคาร Goldman Sachs (NYSE:GS) เผยว่า "ตัวชี้วัดด้านการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงเริ่มมีผลกับตลาดแล้วในเวลานี้"
ธนาคารแห่งนี้ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า
"ขนาดของความรุนแรงและความเร็วในการชะลอตัวนั้นจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อสหรัฐฯ เพิ่มการผลิตน้ำมันและปริมาณน้ำมันสำรองที่มากขึ้น”
หน่วยงานข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ เปิดเผยในรายงานปริมาณการผลิตและความต้องการน้ำมันประจำสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ กลับไปสู่จุดที่เคยผลิตได้สูงสุดที่ 12.3 ล้านบาร์เรลต่อวันแล้ว หลังจากที่ผลิตได้น้อยลงมาเป็นเวลาหลายเดือน จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการผลิตในอนาคตมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจะมีปริมาณการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น
แม้กระนั้น ตลาดน้ำมันก็ยังไม่น่าจะเป็นขาลงไปเสียทั้งหมด
จากการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ในวันจันทร์ที่ผ่านมาพบว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์น่าจะยังคงอยู่ที่ประมาณ $70 ไปจนกระทั่งสิ้นปี เนื่องจากถูกจำกัดด้วย “ความเสี่ยงด้านปริมาณการผลิตในตะวันออกกลาง”
การสำรวจในครั้งนี้ซึ่งจัดทำโดยนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์รวม 43 คนพยากรณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ $68.84 ในปี 2019 โดยเปลี่ยนแปลงจากผลสำรวจจากคราวที่แล้วซึ่งอยู่ที่ $68.57
ทองคำแข็งค่าขึ้นไปที่ $1,300
เช่นเดียวกันกับน้ำมัน ทองคำก็ได้รับผลกระทบรุนแรงในสัปดาห์นี้เช่นกัน สำหรับทองคำนั้นอาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ในระดับ $1,300 ที่เคยทำได้เมื่อสัปดาห์ก่อนและอาจขึ้นไปสูงสุดได้เหนือ $1,330
ในช่วงแรกของการ ซื้อขายทองคำ ในตลาดเอเชียเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าตลาดเป็นขาขึ้น เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ที่ $1,312.85
สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ที่กำหนดส่งมอบในเดือนสิงหาคม มีการซื้อขายกันในตลาด Comex ของ New York Mercantile Exchange ที่ระดับ $1,317.75 ซึ่งนับว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมา
ราคาทองคำน่าจะยังพุ่งสูงขึ้นต่อไปได้อีก เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นในปัญหาเศรษฐกิจจะส่งผลให้นักลงทุนหันไปหาทรัพย์สินที่มีความปลอดภัยสูงกว่า ซึ่งต่างไปจากสัปดาห์ก่อนๆ ที่นักลงทุนหันไปหาเงิน ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้เป็นสินทรัพย์ในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสงครามการค้า