สำหรับนักลงทุนแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นเพียงการเตือนในเบื้องต้นเท่านั้น เพราะนอกจากข้อพิพาทในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนแล้ว ยังคงมีความเสี่ยงอื่นๆ ซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และน่าจะเป็นผลเสียกับตลาดหุ้นขาขึ้นและสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภาพรวมได้
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองที่ทวีความรุนแรงในตะวันออกกลาง ปัญหาภายหลังจากออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ของสหราชอาณาจักร และตัวเลขรายงานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ไม่สู้ดีนัก ต่างก็เป็นปัญหาคาราคาซังที่ยังหาทางออกไม่ได้ ทำให้นักลงทุนยังคงมีความกังวลและส่งผลให้ตลาดหุ้นยังคงชะลอตัว
สัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลดลง 0.7% นับเป็นการลดลงประจำสัปดาห์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ที่ 5 และเป็นการปรับตัวลดลงของดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา ในช่วงไม่กี่วันที่กำลังจะมาถึงนี้ ภาพรวมของตลาดยังคงมีความไม่แน่นอน เรากำลังจับตาดูหุ้น 3 ตัวที่น่าจะมีการเคลื่อนไหวจากรายงานผลประกอบการ และ/หรือ พัฒนาการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นดังต่อไปนี้
1. Costco Wholesale
การปรับขึ้นอัตราภาษีในการเจรจาทางการค้านั้นส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยหุ้นธุรกิจค้าปลีกซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของตลาดก็เริ่มที่จะได้รับผลกระทบแล้วด้วยเช่นกัน
อุตสาหกรรมการค้าปลีกจะได้รับการวิเคราะห์อีกครั้งเมื่อ Costco Wholesale (NASDAQ:COST) รายงานผลประกอบการหลังปิดงบไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 ออกมาให้ทราบในวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคมนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.82 ณ สิ้นวันที่ 13 พฤษภาคม จากข้อมูลของ Investing.com บริษัทจะมียอดขายอยู่ที่ 34,650 ล้านเหรียญ
หากรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่เจ้านี้ประกาศออกมาพร้อมกับตัวเลขที่ไม่สู้ดีนัก ก็จะส่งผลภาพพจน์ของบริษัทไปตลอดทั้งปีนี้ ตัวเลขการคาดการณ์ของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะในขณะที่มีแรงกดดันทางต้นทุนสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียกับผู้ค้าปลีกที่ต้องนำเข้าสินค้าจากจีน
ตัวเลขจากการรายงานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อไม่นานนี้ก็แสดงให้เห็นว่าน่าจะมีการชะลอตัวเช่นกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะส่งผลกระทบกับความมั่นใจของผู้บริโภคไปเรื่อยๆ แต่หุ้นของ Costco ในขณะนี้ยังคงเป็นที่นิยมของนักลงทุนเป็นอย่างมาก เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดตลาดที่ $247.30 ซึ่งถือว่าเป็นการฟื้นตัวกลับมาจากจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคมได้มากกว่า 30%
2. Apple Inc.
ในบรรดาหุ้นต่างๆ ในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นของ Apple (NASDAQ:AAPL) จากกลุ่ม FAANG เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับผลเสียจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมากที่สุดตัวหนึ่ง ราคาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตไอโฟนรายนี้ร่วงลงไปราว 14% เฉพาะในช่วงเดือนที่ผ่านมาไปปิดตลาดในวันศุกร์อยู่ที่ $178.97
หุ้นของ Apple ยังคงอ่อนตัวลงเมื่อนักวิเคราะห์หลายรายออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของบริษัทที่จะได้รับจากจีน ทำให้ราคาหุ้นตลอดทั้งสัปดาห์ปรับตัวลดลง 5.3%
อย่างไรก็ตาม หากในสัปดาห์หน้า สหรัฐฯ และจีนสามารถรอมชอมกันในข้อตกลงได้ นักลงทุนอาจจะหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้นบ้าง จีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ Apple โดยบริษัทมียอดขายในปีล่าสุดอยู่ที่ 52,000 ล้านเหรียญ
ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้าในครั้งนี้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำกับบริษัทหัวเหว่ยเทคโนโลยีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ยิ่งเกิดความกลัวว่าจีนจะมีการโต้ตอบโดยมุ่งเป้ามาที่บริษัท Apple รวมถึงเครือข่ายอุปทานของบริษัทซึ่งยังต้องพึ่งพาแหล่งการผลิตจากจีนอยู่อย่างมาก
3. Dell Technologies
Dell Technologies Inc. (NYSE:DELL) กำลังจะประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกในวันพฤหัสบดีหลังปิดตลาด หลังจากที่บริษัทเข้าสู่ตลาดหุ้นใหม่อีกครั้งเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีกำไรเฉลี่ยต่อหุ้นอยู่ที่ประมาณ $1.21 โดยมียอดขายอยู่ที่ 22,270 ล้านเหรียญ
จากการพยากรณ์ยอดขายในปี 2020 ของ Dell ระบุว่ายอดขายน่าจะชะลอตัวในช่วงปีหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะมีผลทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ของบริษัทลดลง ในปีที่ผ่านมา Dell ทำยอดขายได้ดีมากอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการที่บริษัทเตรียมการเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้งด้วยการปรับโครงสร้างใหม่เป็นเวลา 5 ปีเพื่อลดหนี้สินและความซับซ้อนของโครงสร้างภายในของบริษัทลง
ความชื่นชอบของนักลงทุนในการปรับโครงสร้างใหม่ของ Dell ในครั้งนี้ ทำให้ราคาหุ้นในปีนี้เพิ่มขึ้นไปถึง 45% ในขณะที่ในช่วงเดียวกันนี้ ดัชนี S&P 500 ก็ขยายตัวขึ้น 13% ราคาหุ้นของ Dell ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $66.12