ผลการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ (อย่างไม่เป็นทางการ) DONALD TRUMP และ REPUBLICAN ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ซึ่งทำให้ถูกคาดหมายว่า การเดินนโยบายต่างๆ ที่ได้หาเสียงไว้น่าจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เรามองผลกระทบในหลายมิติ เริ่มจากมิติของการค้าระหว่างประเทศ แนว ทางการตั้งกำแพงภาษีของสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ น่าจะทำให้ปริมาณ การค้าระหว่างประเทศอยู่ภายใต้แรงกดดัน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้ภาคการ ส่งออกของบ้านเราชะลอตัว แต่ก็อาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการ ผลิต ในมิติของตลาดการเงินถูกคาดหมายว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ย นโยบายได้น้อยลงทำให้USD แข็งค่า ส่วนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลก็จะ ทำให้EPS GROWTH ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สูงขึ้น ภาพรวมอาจทำให้ FUND FLOW ไหลกลับตลาดการเงิน สหรัฐฯ เป็นไปได้ที่จะเห็นทิศทางของ FUND FLOW ไหลออก ซึ่งน่าจะทำให้SET INDEX กลับมาอยู่ภายใต้แรงกดดัน วันนี้ประเมินกรอบ 1455 –1480 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก CPALL (BK:CPALL), PR9 และTASCO
การย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย หุ้นใดได้ประโยชน์ หลังจากที่รู้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า พรรค REPUBLICAN ชนะ โดยมี DONALD TRUMP เป็น ปธน.คนที่ 47 ซึ่งนโยบายหลักๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นและส่งผล ต่อประเทศอื่น คือ การเพิ่มภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ 10% และจากจีน 60% (ซึ่ง ล่าสุดอาจตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเป็น 150 –200% ถ้าจีนบุกไต้หวัน), ตั้งกำแพงภาษีกลุ่ม BRICS 100% รวมถึงการกลับมาของ AMERICAN FIRST อาจเสี่ยงทำให้สงคราม การค้าจีน-สหรัฐ (TRADE WAR) ซึ่งต้องติดตามว่านโยบายต่างๆ จะเกิดขึ้นจริงและ รุนแรงขนาดไหน โดยตอนที่ DONALD TRUMP เป็น ปธน. สมัยที่ 1 และมีการเกิด TRADE WAR ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ณ ตอนนั้นยอดเงินลงทุนยอดส่งเสริมลงทุนจากต่างประเทศ (BOI) พุ่งขึ้นจาก 2.1 แสนล้านบาท สู่ระดับ 4.6 แสนล้านบาท (+116%YOY) จึงทำให้มีโอกาส ที่จะเห็นยอดเงินลงทุนยอดเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) เร่งตัวขึ้นเฉก เช่นในอดีต
ซึ่งหากพิจารณาจากผลตอบแทนสินทรัพย์ต่างๆ ในช่วงต้นปี 2017 - ต้นปี 2021 ที่ นายโดนัลด์ทรัมป์บริหารสหรัฐฯ SET +13.7% แต่มีกลุ่มหุ้นที่ขึ้นได้ดี คือ
• หุ้นกลุ่มนิคมอย่าง AMATA +126%, ROJNA +56%, WHA +35%
• หุ้นกลุ่มเดินเรือที่ BDI +98% หุ้นกลุ่มเดินเรืออย่าง RCL +68%, PSL +28%
• หุ้นกลุ่มขนส่งอย่าง SJWD +55% WICE +43%
TRUMP 2.0 กับความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศ ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ทรัมป์ คว้าชัยเป็น ปธน. สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ โดยหนึ่งใน นโยบายชูโรงของ TRUMP คือ แผนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่ม 60%และ ประเทศคู่ค้าอื่นๆ เพิ่ม 10% -20% ผลกระทบกรณีสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีจีน เพิ่มแรงกดดันโดยตรงต่อภาคการค้า ระหว่างประเทศ สังเกตได้จากช่วงกลาง 2017 – 2019 (TRADE WAR) ที่การส่งออก ระหว่างสหรัฐฯ – จีน พึ่งพากันน้อยลงอย่างชัดเจน พร้อมกับทำให้GDP GRWOTH ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จาก 6.8%YOY สู่ 5.8%YOY
เช่นเดียวกับบ้านเรา ที่ภาคการนำเข้า-ส่งออก ช่วง TRADE WAR ทรุดหนักหลายไตร มาสติดต่อกัน ซึ่งกดดันให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ช้าลงตามไปด้วย ขณะที่แนวโน้มส่งออกของไทยไปยังประเทศปลายทางในช่วงนั้น มีการพึ่งพาสหรัฐฯ มากกว่าจีน หลังเศรษฐกิจจีนเติบโตน้อยลง โดยในปี 2019 ไทยส่งออกไปจีนลดลง - 3.8%YOY และส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น +11.8%YOY
สำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกจากไทยไป US ที่สำคัญ อาทิ เครื่องจักรกลและ ส่วนประกอบของเครื่องจักรกล, เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์, รถยนต์ อุปกรณ์และ ส่วนประกอบ, ทูน่ากระป๋อง เป็นต้น ฝ่านวิจัยคาดว่าจะได้อานิสงค์ต่อ หากไทยส่งออก ไป US มากขึ้น มองเป็นบวกต่อหุ้น DELTA, KCE, HANA, TU อย่างไรก็ตามอาจจะต้องจับตาการเข้ามาของสินค้าจีน ที่มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาด ในบ้านเรา โดยสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน ที่สำคัญ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป, ผลิตภัณฑ์ทำ จากพลาสติก, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือน, เสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ, ผัก ผลไม้
ตลาดหุ้นโลกและไทยมีโอกาสผันผวนมากขึ้น ทรัมป์ เป็นว่าที่ ปธน. สหรัฐ คนที่ 47 วานนี้ เริ่มต้นทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบสนอง ในเชิงบวกแรง โดยวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐ +2.5% ถึง 5.9% จากความคาดหวังการลด ภาษีนิติบุคคลลงจาก 21% เหลือ 15% โดยตลาดคาดว่าจะหนุน EPS GROWTH25F ของดัชนี S&P500 ขึ้น 4% เป็น 9.4 เหรียญต่อหุ้น อิง P/E 25 เท่า TARGET หุ้นสหรัฐขึ้น 235 จุด ราว 3.9% แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนอง ประเด็นนี้ไประดับหนึ่งแล้ว
ส่วนประเด็นสำคัญที่อาจกดดดันให้ตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยผันผวน คือ ความกังวลประเด็นสงครามการค้าครั้งที่ 2 อาจจะกลับมา ถ้าจำกันได้ในตอนที่เกิด ประเด็นสงครามการค้าในปี 2018 แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะมี EPS GROWTH โตแรง 21% แต่ตลาดหุ้น S&P500 ก็ยังปรับฐานลึก -6.2% ในปีนั้น ส่วนตลาดหุ้นไทยในปี 2018 เป็นปีที่ FUND FLOW ไหลออกมากสุดในประวัติศาสตร์ -2.87 แสนล้านบาท กดดัน SET INDEX -10.8% พร้อมกับ EPS GORWTH ลดลงต่อเนื่อง ปี 2018 - 2.85% และปี 2019 -7.4%
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities