สถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลางมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หลังอิสราเอล ส่ง สัญญาณโจมตีกลับไปที่อิหร่าน โดยจะเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้าน พลังงาน ขณะที่มีการเดินหน้าโจมตีเข้าไปในเลบานอนต่อเนื่อง ภาวะ ดังกล่าวทำให้ระดับความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น นักลงทุนต้อง ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเฉพราะอยางยิ่ง ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่าควรลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยถือเงินสด เพิ่มขึ้นกว่าปกติ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวยังมีหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ หุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน โดยเรามองว่าหุ้น PTTEP, PTT (BK:PTT) รวมถึง TOP ราคายัง LAGGARD ส่วนในบ้านเราวานนี้มีการพูดคุยกัน ระหว่าง ผู้ว่าฯธปท. และ รมว.คลัง ซึ่งดูเหมือนยังไม่มีบทสรุปที่สำคัญ ส่วนการประชุม กนง. 16 ต.ค.นี้ คาด คงดอกเบี้ยฯ ระดับความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น โดยในช่วงใกล้วันหยุดแนะนำถือ เงินสดมากกว่าปกติเพื่อลดความเสี่ยง วันนี้คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1430 –1453 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก CK, PTTEP และTASCO
ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สูงขึ้น หนุนเม็ดเงินเข้า SAFE HAVEN วานนี้ ราคาน้ำมันดิบโลกดีดตัวขึ้นมาแรงราว 5% ทำให้ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบ WTI เดือน ต.ค. 67 ขยับตัวเพิ่มขึ้น +3.6%MOM หลังความตึงเครียดตะวันออกกลาง กลับมาเป็นที่น่ากังวลมากขึ้น จากกรณิอิหร่านได้ยิงขีปนาวุธนับร้อยโจมตีอิสราเอล เมื่อต้นเดือน ขณะที่ล่าสุดมีกระแสข่าว ปธน. โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กำลังหารือกับอิสราเอลเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ในการโจมตีคลังน้ำมันของอิหร่าน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ทวีรุนแรง เสี่ยงกระทบ SUPPLY การผลิตน้ำมันปรับตัวลดลง ไปจนถึงการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งจะทำให้ค่าพรีเมียมความเสี่ยงถูกเพิ่มลงไปในราคาน้ำมัน (OIL PRICE )
ผลพวงที่ตามมา หากราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้น คือ “ปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ กรอบเป้าหมายช้าลง” ซึ่งอาจทำให้ FED ปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาด คาดการณ์ไว้ได้ โดยหลังจากการประชุม FED เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา FED WATCH TOOL ประเมินว่า FED จะลดดอกเบี้ย 0.5% ในครั้งถัดไป ด้วยความน่าจะเป็น 55% แต่ล่าสุดคาด FED จะลดดอกเบี้ยแค่ 0.25% ด้วยความน่าจะเป็น 69% ในการประชุมรอบเดือน พ.ย. นี้
ทั้งปัจจัยความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ บวกกับ FED อาจไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยลงเร็ว จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ล้วนหนุนให้DOLLAR พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ทำให้ในเชิง เปรียบเทียบเงินบาทอ่อนค่าขึ้นมายืนเหนือ 33 บาท/เหรียญฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ FUND FLOW ชะลอการไหลเข้าบ้านเราได้ในช่วงสั้นๆ
สรุป ความตึงเครียดตะวันออกกลางต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และระมัดระวัง เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในช่วงวันหยุด หากเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น เสี่ยงทำให้ ราคาน้ำมันดีดตัว ซึ่งจะตามมาด้วยปัญหาเงินเฟ้อเข้ากรอบเป้าหมายช้า ซึ่งอาจจะ ส่งผลให้ FED ปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าตลาดคาดได้ หนุน DOLLAR แข็งค่า ส่วนเงิน บาทมีโอกาสอ่อนค่าลงเชิงเปรียบเทียบ
คลัง-ธปท.คุยกันได้ หนุน FLOW ไหลเข้าตามเศรษฐกิจที่เติบโต หลังจากที่กระทรวงการคลัง หารือกับ ธปท.วานนี้ เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัญหาหนี้ครัวเรือน การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเห็นพ้องกันว่า ปัญหาประชาชนขาด สภาพคล่องและเข้าไม่ถึงสินเชื่อ เป็นปัญหามากกว่าดอกเบี้ย หลังสถาบันการเงิน ต่างๆ ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อเท่าที่ควร โดย รมต.คลังกล่าวว่า ตนเองยึดมั่นในหลักการ ที่ว่า การตัดสินใจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นหน้าที่ของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และเชื่อว่า ธปท. จะมีเครื่องมือช่วยเศรษฐกิจ ไทยมากกว่าการปรับลดดอกเบี้ย ประเด็นดังกล่าว คาดหนุนให้ FLOW ต่างชาติมี โอกาสไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยได้ในช่วงสั้นตามความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้นในมุมมอง ของนักลงทุน โดย BLOOMBERG CONSENSUS คาดว่าการประชุมวันที่ 16 ต.ค. 67 กนง.จะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.50% ขณะที่มุมมองของฝ่ายวิจัย ยังคงมุมมองเดิม คือ คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะลง 1 ครั้ง 0.25% จากปัจจุบันที่ 2.5% ในงวด 4Q67 (การประชุม กนง. 2 ครั้งที่เหลือ วันที่ 16 ต.ค. 67 หรือ 18 ธ.ค. 67)
ส่วนประเด็นถัดมา คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง ซึ่งล่าสุด รมช.คลัง ระบุรัฐบาลเตรียมมาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องปลายปีนี้ มองเศรษฐกิจ ไทยขยายตัวได้ดีช่วง 2H67 คาด GDP GROWTH ปีนี้โต 2.6-2.7%YOY (ยังไม่รวม ผลมาตรการแจกเงินหมื่นอีก 0.3%YOY) ซึ่งหากจะเกิดขึ้นจริงในช่วง 2H67 ตัวเลข GDP รายไตรมาสต้องแตะระดับ 3.4-3.5%YOY โดยถือว่าสูงเมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันกับปีก่อน ขณะที่ปี 2568 คลังคงมุมมอง GDP GROWTH โตระดับ 3%YOY
สรุป คลัง-ธปท.คุยกันได้ หนุน FLOW ไหลเข้าตามเศรษฐกิจที่เติบโตในช่วง 2H67- 2568 และมอง SET INDEX ย่อลงมาถือเป็นจังหวะสะสม โดยวันนี้คาดกรอบการ เคลื่อนไหว SET ช่วง 1430-1453 จุด
หาหุ้นหลบปัจจัยกดดันภายนอก กับ FUND FLOW ไหลออก ความไม่สงบในตะวันออกกลาง กดดันเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภะยเพิ่มเติม อีก ทั้งการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินไปลงทุนในหุ้นจีน กดดันให้ FUND FLOW ไหลออกจาก ตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน 7 วันทำการ 1.4 หมื่นล้านบาท กดดัน SET INDEX -1.3%
ความผันผวนจากปัจจัยภายนอกยังมีอยู่กดดัน SET INDEX ขยับขึ้นยากในช่วงนี้ แต่ ยังคงมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์คอยช่วยพยุง ทำให้มีโอกาสผันผวนน้อยกว่า ตลาดหุ้นอื่นๆ ได้ กลยุทธ์ยามตลาดย่อตัว เน้นสะสมหุ้นเป็นรายหุ้นที่ได้ SENTIMENT เชิงบวกผสมกัน หลายๆ ธีม ดังนี้
▪ หุ้นน้ำมัน มี ESG RATING ดี ที่ราคายัง LAGGARD กว่าราคาน้ำมันโลก คือ PTTEP -10.7%YTD, PTT -6.3%YTD, TOP -7.0%YTD
▪ หุ้นมี ESG RATING ดี กำไรช่วง 2H67 เด่น คือ SCC, SCGP, CPAXT, AMATA, MTC, PLANB, CBG
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities