ก่อนการปรับขึ้นของ SET INDEX ในรอบนี้ เราได้ชี้ให้เห็นมาก่อนแล้วว่า โดย FUNDAMENTAL ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในเกณฑ์ดี กล่าวคือ GDP GROWTH 2H67โตเป็นขั้นบันได, กำไร บจ.ฟื้นตัวโดย 2H67 คาดโตกว่า 27% YOY ขณะที่ VALUATION มีMARKET EARNING YIELD GAP กว้างกว่า 4%แต่ที่SET INDEX ยังขึ้นไม่ได้เพราะมีระดับ TURNOVER ไม่ เพียงพอในการขับเคลื่อน ดังนิ้นเมื่อเห็นสัญญาณบวกของ FUND FLOW เริ่มจากการที่ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อ ตามด้วยการเดินหน้าที่เป็น รูปธรรมของกองทุนวายุภักษ์ และยังมีTHAILAND ESG FUND เข้ามา เสริมอีก ทำให้ปัจจุบัน TURNOVER ของตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ที่ ระดับสูงเพียงพอ เมื่อ FUNDAMENTAL และFUND FLOWมาเจอกัน จึง น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทย กลับมา OUTPERFORM ตลาดหุ้นโลกได้ คาดว่า SET INDEX ยังอยู่ในทิศทางขึ้น โดยปัจจุบันยังไม่เห็นปัจจัยที่จะทำ ให้เกิดการปรับฐานรุนแรง วันนี้คาดว่า SET INDEX น่าจะอยู่ในกรอบ 1418 –1440 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BEM, OSP และ SIRI
การเลือกตั้งใน USA ยังมองข้ามไม่ได้ วานนี้ตลาดหุ้นโลก REBROUND กลับขึ้นมา หลังปรับตัวลงแรงจากความกังวล RECESSION โดยในฝั่งสหรัฐฯ ขยับขันราว 0.3% - 1.2% ส่วนฝั่งยุงโรปปรับตัว เพิ่มขึ้นราว 0.8% -1.1% ขณะที่ประเด็นที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิดคือ “การดีเบตกันครั้ง แรกระหว่าง TRUMP & HARRIS ในการชิงเก้าอี้ ปธน. สหรัฐฯ” ในวันที่ 10 ก.ย. 67 เวลา 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (วันที่ 11 ก.ย.67 เวลา 8.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งจัดโดย ABC NEWS ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย สำหรับ THEME การลงทุน POLICY PLAY มักเหวี่ยงไปตามผล POLL สํารวจว่า พรรคใดจะครองเสียงคะแนนความนิยมมากกว่ากัน โดยล่าสุดคะแนนเสียง HARRIS นำหน้า TRUMP อยู่ที่ 48.4 ต่อ 46.9
อย่างไรก็ตามประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง TRUMP ประกาศ เก็บภาษี 100% ประเทศที่เลิกใช้เงินดอลลาร์ ทำให้ BRICS กลายเป็นกลุ่มประเทศที่ ตกเป็นเป้าหมายแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ ซึ่งหากนำมูลค่า GDP และ มูลค่าการค้าของกลุ่ม BRICS เทียบกับโลก พบว่ามีสัดส่วนค่อนข้างสูง และอาจเป็น ฉนวนของ TRADE WAR รอบใหม่ที่รุนแรงขึ้น ทั้งนี้หาก TRUMP ได้รับการคัดเลือกเป็น ปธน. สหรัฐ สมัยที่ 2 จริง คาดหนุนให้ยอด BOI และ FDI เร่งตัวขึ้นเฉกเช่นในอดีต จากการย้ายฐานการผลิต เพื่อหลีกหนี TRADE WAR มาที่ไทย มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอย่าง AMATA, ROJNA, WHA รวมถึง การเร่งนำเข้าส่งออกสินค้าดีต่อกลุ่มขนส่ง RCL PSL TTA WICE III SJWD
สรุป การดีเบตกันครั้งแรกระหว่าง TRUMP & HARRIS ในการชิงเก้าอี้ ปธน. สหรัฐฯ ในเช้าพรุ่งนี้ จำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะ THEME การลงทุน POLICY PLAY มักเหวี่ยงไปตามผล POLL สํารวจว่าพรรใดจะครองเสียงคะแนนความนิยม มากกว่ากัน
งบประมาณปี 68 เตรียมอัดฉีดเข้าระบบ ดันเศรษฐกิจพุ่งทยาน วานนี้มติวุฒิสภา เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 ในวาระ 3 ด้วยคะแนน 174 เสียง ต่อ 3 เสียง ส่วนกระบวนการถัดไป คือ เตรียมนำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวขึ้น ทูลเกล้าฯ และเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจในระยะถัดไป
โดยจะเห็นได้ว่า รัฐบาลปัจจุบันมีเม็ดเงินที่สามารถนำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที จาก เม็ดเงินคงเหลือของงบประมาณปี 2567 + เม็ดเงินใหม่จากการอนุมัติงบประมาณปี 2568 เพื่อทยอยขับเคลื่อน GDP GROWTH ไทยในช่วง 4Q67-2568 ขณะที่เป้าหมาย การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยของภาครัฐฯ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การใช้จ่ายภาครัฐ (G) และ การบริโภคภาคครัวเรือน (C) เป็นหลัก
ึ่งนโยบายที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือ หนีไม่พ้นโครงการ DIGITAL WALLET ที่ รมช. คลัง เผยว่าโครงการดังกล่าว จะถูกนำเข้าประชุม ครม. 17 ก.ย.67 และเตรียมแจกเงิน สดล็อตแรกกลุ่มเปราะบาง 10,000 บาท ภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งไม่จำกัดร้านค้า/สินค้า (ผ่านงบประมาณส่วนเหลือของปี 2567) จำนวน 14.5 ล้านคน ส่วนกลุ่มที่เหลืออีก 30 ล้านคน จะถูกแบ่งเป็น 2 รอยย่อย คือ 1).หากระบบดิจิทัลไม่เสร็จจะแจกเงินสดก่อน 5,000 บาท (ภายในปี 2567) ส่วนที่เหลือ อีก 5,000 บาท อาจจะแจกเป็นเงิน DIGITAL (ภายในปี 2568)ซึ่งต้องติดตามต่อว่ากระบวนการต่างๆจะเป็นไปตามที่ชี้แจง หรือมี การเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ในอนาคตหรือไม่ โดยกลุ่มหุ้นที่คาดได้ ประโยชน์ คือ กลุ่มเกษตร-อาหาร / ค้าปลีก / เช่าซื้อ / เครื่องดื่ม อย่าง CPF TU CPALL (BK:CPALL) CRC BJC HMPRO COM7 MTC SAWAD TIDLOR BAM OSP CBG ICHI
สรุป มติวุฒิสภา เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 เรียบร้อย เตรียมอัดฉีดเม็ด เงินเข้าสู่ระบบ ดันเศรษฐกิจพุ่งในอนาคต ซึ่งนโยบายหลักที่เป็นพระเอก คือ DIGITAL WALLET ที่มีความคืบหน้า คือ 20 ก.ย.67 เตรียมแจกเงิน 10,000 บาท สำหรับกลุ่ม เปราะบาง 14.5 ล้านคนก่อน
วายุภักษ์สยายปีก มูลค่าซื้อขายคึกคัก ช่วยพัด SET ให้ขึ้นต่อได้ ประเด็นกองทุนวายุภักษ์ หนุนให้ต่างชาติกลับมาสนใจลงทุนหุ้นไทย โดย 3 วันทำการที่ ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2.2 หมื่นล้านบาท และซื้อผ่าน NVDR อีก 1.3 หมื่น ล้านบาท รวม 3.5 หมื่นล้านบาท หนุนมูลค่าซื้อขายเร่งเพิ่มขึ้นเร็วเป็น 8 หมื่นล้านบาท – 1 แสนล้านบาทต่อวัน (สูงกว่าค่าเฉลี่ยปีนี้ที่ 4.3 หมื่นล้านบาทYTD) และหนุนให้ TURNOVER ต่อปี ขยับขึ้นไปเกิน 100% ตลอด 3 วันทำการที่ผ่านมา
และจากสถิติในอดีต เวลามูลค่าซื้อขายสูงเกิน 5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น TURNOVER > 70% ต่อปี มักจะหนุนให้ SET INDEX มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า ปรับตัวลง และยิ่งมูลค่าซื้อขายมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งผลักดันให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้น ได้ดี
และในระยะถัดไป ยังมีสภาพคล่องส่วนเกินคอยหนุนจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ ใน อดีตปี 2546 มีเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เริ่มต้น 7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน MARKET CAP 1.81% หนุน SET INDEX ในเดือนถัดมาขึ้นได้ 19.5% ขณะที่ปัจจุบัน เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เริ่มต้นเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ MARKET CAP 0.85% แม้สัดส่วนสภาพคล่องส่วนเกินจะน้อยกว่าในอดีตราว ครึ่งหนึ่ง แต่ก็มีโอกาสผลักดันให้ SET INDEX ขึ้นได้ดีในช่วงที่เหลือของป
สรุปต่างชาติซื้อหุ้นไทยเยอะ มูลค่าซื้อขายหนาแน่น กองทุนวายุภักษ์เตรียมหนุน น่าจะ ช่วยพยุงให้ SET INDEX OUTPERFORM ได้ดีในช่วงนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities