การประชุม ครม.เศรษฐกิจวานนี้ เห็นแนวทางการขับเคลื่อนที่สำคัญ 3 ส่วน เริ่มจากการเห็นชอบกรอบงบประมาณกลางปี 2567 จำนวน 1.22 แสนล้านาบาท โดยจะมีการกู้เพิ่ม 1.12 แสนล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะ ต่อ GDP ปรับขึ้นไปที่ 68% ประเด็นที่ 2 น่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นการ บริโภคออกมาก่อนที่ DIGITAL WALLET จะเกิดขึ้นใน 4Q67 และ สร้าง โอกาสให้SME เข้าถึงแหล่งเงินทุน แนนทางทั้ง 3 ส่วนถือเป็นการที่อัดฉีด เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดผลดีกับกลุ่ม อุตสาหกรรมค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม รวมถึง FINANCE แต่อาจไม่ได้มี น้ำหนักในการขับเคลื่อน SET INDEX ส่วนภาพใหญ่ความสนใจอยู่ที่ ECB ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม 6 มิ.ย. ส่วนบ้านเรา กนง. ประชุม 12 มิ.ย. คาดยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.50%
แม้ SET INDEX จะยังไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนที่มีน้ำหนักมากพอ แต่ก็มีโอกาส ที่จะเห็นบางกลุ่มที่ปรับขึ้นได้ วันนี้ประเมินกรอบ 1358 –1372 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BCH, GULFและ PTTEP
เข้าใกล้วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง?
มุมมองทิศทางดอกเบี้ยของแต่ละประเทศ เริ่มเข้าใกล้วงจรขาลงมากขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะ อย่างยิ่ง ECB ที่อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 4.25% ในการประชุมรอบ วันที่ 6 มิ.ย.67 นี้ หลังอัตราเงินเฟ้อล่าสุดชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 2.4%YOY อีกทั้ง เจ้าหน้าที่ ECB หลายราย (อาทิ คริสติน ลาการ์ด, โอลลี เรห์น, ฟิลิป เลน ฯลฯ) เชื่อ ว่าเฟ้อยุโรปอยู่ภายใต้การควบคุมและจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายระยะกลางได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับคาดการณ์ BLOOMBERG มองทิศทางดอกเบี้ยยุโรปจะอยู่ที่ระดับ 4.25% ใน 2Q67 และ 3.5% ในปลายปีนี้ ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงเข้าใกล้ บริเวณกรอบเป้าหมายที่ 2% ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้ม ค่อยๆ ขยายตัวและต่ำกว่าเงินเฟ้อ
สำหรับแนวโน้มเงินดอกเบี้ยในบ้านเรา BLOOMBERG ประเมินว่าจะเห็นการปรับตัว ลดลง 0.25% เหลือ 2.25% ในช่วง 1Q68 หลังภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังโอกาสเร่งตัว ขึ้นสูง +4.0% ใน 4Q67 อีกทั้งเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ซึ่งตราบใดที่ กนง. ไม่เริ่มปรับลดดอกเบี้ย อาจจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันให้ FUND FLOW ไหลเข้าไทยได้ไม่เต็มที่ในช่วงระยะกลาง
สรุป ทิศทางดอกเบี้ยเริ่มเข้าใกล้วงจรขาลงมากขึ้นเรื่อยๆ นำโดย ECB ที่อาจปรับลด อัตราดอกเบี้ยเหลือ 4.25% ในการประชุมรอบวันที่ 6 มิ.ย.67 นี้ แซงหน้า FED สำหรับแนวโน้มเงินดอกเบี้ยในบ้านเรา BLOOMBERG คาดปรับตัวลดลงเหลือ 2.25% ในช่วง 1Q68 ทำให้ประเด็นเรื่องดอกเบี้ย อาจจะไม่ใช่ปัจจัยหนุนให้ FUND FLOW ไหลเข้าในช่วงระยะกลาง
ราคาน้้ามันดิบมีโอกาสทรงตัวระดับสูง เพราะ ... ?
ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันถือว่าแกว่งตัวขึ้นลงรายวันแต่อยู่ในกรอบ สูงตามประเด็นข่าวต่างๆที่เกิดขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ในกรอบ 77-79 เหรียญฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ BRENT อยู่ในกรอบ 82-84 เหรียญฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ในกรอบ 83-85 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งได้รับปัจจัยหนุน หลักจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีการพยากรณ์จากหลายสถาบันว่าในปี 2567 จะ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 อาทิ มอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่าความต้องการใช้น้ำมันในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นราว 1.5 ล้านบาร์เรล จากปี 2566 อีกทั้งได้รับผลบวกจากกลุ่ม OPEC+ ที่ ในช่วงที่ผ่านมายังยืนยันที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันอยู่ และล่าสุดตลาดรอดูผล การประชุมของกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 2 มิ.ย. นี้ว่าจะขยายระยะเวลาการปรับลดการ ผลิตน้ำมัน 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปหรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมี การขยายระยะเวลาการปรับลดออกไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.67 นอกจากนี้ล่าสุดราคา น้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ECB (EUROPEAN CENTRAL BANK) ที่มี โอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะเป็นบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันให้เห็นการ ขยับตัวขึ้นได้ ทำให้ภาพรวมของราคาน้ำมันดิบโดยรวมยังเป็นภาพที่แข็งแรงอยู
ประเทศไทยดูดีขึ้นตามตัวเลข GDP ที่ไต่ระดับ และเตรียมรับแผน กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเติบโตได้ราว 5.4%YOY ขณะที่ช่วง 10 ปี ย้อนหลัง ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยแค่ 3.3%YOY สะท้อนศักยภาพเศรษฐกิจไทยขยายตัว ต่ำลงไปเรื่อยๆ จากปัญหาเชิงโครงสร้าง กดดัน GDP GROWTH บ้านเราเติบโตได้ ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ ASEAN อย่างไรก็ตาม GDP ไทยงวด 1Q67 ออกมา +1.5%YOY (สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.8%YOY) และระยะถัดไปคาดหวัง เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบขั้นบันได โดย BLOOMBERG คาดการณ์ GDP GROWTH ใน 2Q67 +2.0%YOY, 3Q67 +2.8%YOY, 4Q67 +3.9%YOY โดยตลอดปี 2567 BLOOMBERG คาดการณ์ GDP GROWTH อยู่ที่ +2.8%YOY โดยคาดว่าจะมีแรง หนุนจากการเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐ (G) ที่เหลืออีก 86% ของงบฯ ปี 2567, DIGITAL WALLET ในช่วง 4Q67, การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ, ภาค ท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว (C), การลงทุนภาคเอกชนที่เติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน (I)
อีกทั้งล่าสุดมีการประชุม ครม.เศรษฐกิจซึ่งมี ธปท.ร่วมด้วย(ประชุมทุกวันจันทร์) คาด ทำให้เห็นนโยบายการเงิน-การคลังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นในอนาคต ขณะที่นโยบายการคลังล่าสุด จ่ออัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น (ช่วงไตรมาส 2-3 ก่อนมี DIGITAL WALLET) เร่งสรุป 2-3 สัปดาห์นี้
ส่วนประเด็นการเพิ่มงบประมาณกลางปี จำนวน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อการกระตุ้น เศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ผ่านการทำโครงการ DIGITAL WALLET เติมเงิน 10,000 บาท ขณะที่กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2567 จะ เพิ่มขึ้นเป็น 3.6 ล้านล้านบาท เตรียมชงเข้า ครม.วันนี้ ซึ่งหลังจากนั้นจะต้องส่งเรื่อง ให้กับรัฐสภาเพื่อพิจารณาในลำดับถัดไป ซึ่งหากรัฐสภาเห็นชอบก็จะสามารถ เดินหน้าต่อไปได้ แต่ไม่เห็นชอบร่างกฎหมายนี้ก็ตกไป
ทั้งนี้การตั้งงบฯ ที่ขาดดุลเพิ่มขึ้น อาจหนุนให้ภาระหนี้สาธารณะปรับตัวสูงขึ้น โดย ล่าสุดหนี้สาธารณะบ้านเราอยู่ที่ 11.47 ล้านล้านบาท ส่วนประมาณการ GDP อยู่ที่ 18.11 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วนหนี้ฯ/GDP 63.37% อย่างไรก็ตาม สศช.คาดว่า โครงการ DIGITAL WALLET จะช่วงดัน GDP ไทยใน 4Q67 เติบโตได้ราว 0.25%หรือ มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยภาครัฐ เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้ GDP ไทยขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งน่าจะช่วยลดสัดส่วนหนี้ สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในเกณฑ์ของกรอบวินัยการคลังอยู่ และน่าจะช่วยลดภาระ หนี้ครัวเรือนที่ล่าสุดอยู่ระดับ 91.3% ได้ไม่มากก็น้อย
สรุป ประเทศไทยดูดีขึ้นตามตัวเลข GDP ที่ไต่ระดับ และเตรียมรับแผนกระตุ้น เศรษฐกิจระยะสั้นในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ ส่วนการตั้งงบประมาณปี 67 ที่ขาดดุลเพิ่มขึ้น จะหนุนให้ภาระหนี้สาธารณะปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ของภาครัฐ เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้ GDP ไทยขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งน่าจะช่วยรักษา สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในเกณฑ์ของกรอบวินัยการคลังอยู่ และช่วยลด สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ได้บ้าง
หาหุ้นที่เป็นเป้าหมายเงินหมุนเข้าช่วงสั้น
ตลาดหุ้นไทยยังขาดเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุน โดยต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมา 4 วัน ติดต่อกัน ด้วยมูลค่า 6.0 พันล้านบาท กดดัน SET INDEX ทรงๆ ตัวอยู่ในกรอบ 1360 – 1380 จุด ทำให้การลงทุนในช่วงนี้เป็นลักษณะสลับกลุ่ม TRADING ในช่วง สั้นๆ
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหาหุ้นที่เป็นเป้าหมายการลงทุนหรือเม็ดเงินหมุนเข้าช่วง สั้นได้ในสัปดาห์นี้ เริ่มต้นสังเกตได้ว่าหุ้น OUTPERFORM เด่นในวานนี้มี 3 กลุ่ม คือ หุ้นน้ำมัน TOP +3.5%, SPRC +3.1%, BSRC +2.3%, BCP +1.9% หุ้นโรงไฟฟ้า BGRIM +3.7%, GPSC +2.7%, GULF +1.8% และหุ้นที่ลงลึกมีการรีบาวน์ขึ้นมา บ้าง NEX, BYD, M
ขณะที่ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ หุ้นน้ำมัน หุ้นโรงไฟฟ้า ยังมีMOMENTUM ขยับขึ้น ต่อหรือเป็นเป้าหมายของเม็ดเงินในช่วงสั้นๆ ด้วยเหตุผลดังนี้
หุ้นน้ำมัน -> ราคาน้ำมันทยอยฟื้น จากความต้องการหลังเศรษฐกิจจีนและสหรัฐ แข็งแกร่งยังแข็งแกร่ง ใกล้เข้าสู่ฤดูกาลขับขี่ ขณะที่หุ้นน้ำมันในไทยลงลึกกว่าราคา น้ำมันในช่วงที่ผ่านมา แนะนำTRADING PTTEP, PTT (BK:PTT), BCP, IRPC, TOP
หุ้นรับค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งช่วงสั้นๆ -> ทั้งดอลลาร์ที่อ่อนลง0.6% ในสัปดาห์นี้ และ ตัวเลขเงินเฟ้อยุโรป เดือน พ.ค. ที่จะประกาศ 31 พ.ค. 67 ตลาดฯ คาดยืนสูง 2.6%YOY (สูงกว่าเดือนก่อน 2.4%YOY) อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า และค่าเงินบาทแข็งค่าในช่วงสั้นๆ ได้ ถือเป็น SENTIMENT ที่ดีต่อหุ้นลงไฟฟ้าที่ย่อตัว ลงมาลึก แนะนำ BGRIM, GPSC, GULF
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities