🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

ดีก็ไม่ใช่ แต่ จะร้ายก็ไม่เชิง 

เผยแพร่ 09/05/2567 09:17
SETI
-

ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้งหลัง อิสราเอลเริ่มปฎิบัติการบุก ราฟาห์ แม้จะถูกคัดค้านจากกลุ่มประเทศ พันธมิตร ในเชิงของผลกระทบทางเศรษฐกิจต้องจับตาที่ราคาน้ำมันซึ่ง อาจปรับตัวสูงขึ้นอีกรอบหนึ่ง เป็นแรงกระตุ้นเงินเฟ้อให้กลับขึ้นมา แต่ใน มุมของกลยุทธ์การลงทุน PTTEP ก็อาจได้รับแรงหนุน ส่วนในบ้านเรา กกร. มีการปรับลดคาดการณ์GDP ปี 2567 ลงมาอยู่ในกรอบ 2.2 – 2.7% (ค่ากลาง 2.45%)จากความกังวลเรื่องภาคการส่งออก อย่างไรก็ ตามเรามองว่า การปรับลดคาดการณ์ GDP ดังกล่าว ยังไม่ทำให้ภาพ การ BOTTOM OUT ของเศรษกิจเปลี่ยนไป อีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในความ สนใจคือ LTF ซึ่งประเมินจากท่าทีของกระทรวงการคลังแล้ว มีความ เป็นไปได้มากขึ้นที่จะเห็นการกลับมาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย

ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ต้องใช้คำว่า จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก้ไม่เชิงซึ่ง น่าจะทำให้SET INDEX ยังต้องผันผวนในกรอบ 1369 –1385 จุด ต่อไป อีกระยะหนึ่ง หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, CPN และ GULF

ปัจจัยภายนอก มีอะไรที่ต้องติดตามบ้าง ... มาดูกัน

วานนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT/WTI ปรับตัวขึ้น 0.5% และ 0.2% จนอยู่ระดับ $83.6 และ $79.1 ตามลำดับ หลังจากที่อิสราเอลประกาศยึดจุดผ่านแดนราฟาห์ (เป็น ช่องทางเดียวที่เชื่อมระหว่างอียิปต์กับฉนวนกาซา และหลายประเทศคัดค้านการยึด จุดผ่านแดนนี้) ซึ่งอิสราเอลจะใช้ปฏิบัติการที่จุดผ่านแดนนี้ จนกว่าฮามาสจะถูกกำจัด และมีการปล่อยตัวประกันอิสราเอล ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า ความตึงเครียดใน ตะวันออกกลางยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ ถือเป็นปัจจัยผลักให้ราคาน้ำดีดตัว จากฝั่ง SUPPLY ที่ได้รับผลกระทบ เชิงลบด้านการผลิต และอาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยราคา น้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยล่าสุดเดือน พ.ค. 78.7 เหรียญฯ (+9.9%YOY)

อย่างไรก็ตาม SET INDEX ไม่น่าจะผันผวนมากเท่าตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องด้วยมีสัดส่วน หุ้นกลุ่มน้ำมันสูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักตลาดฯ โดยหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ PTTEP PTT (BK:PTT) PTTGC TOP SPRC BCP เป็นต้น

ขณะที่ประเด็นอื่นที่น่าติดตาม คือ เช้านี้จะมีประกาศตัวเลขนำเข้า-ส่งออกจีน ประจำเดือน เม.ย.67 ซึ่งตลาดคาดว่าจะฟื้นตัวเด่น โดยยอดส่งออก +1.3%YOY (เดือนก่อนหน้า -7.5%YOY) และยอดนำเข้า +4.7%YOY(เดือนก่อนหน้า - 1.9%YOY) ดังรูปด้านล่าง ซึ่งผลลัพธ์หากออกมาเช่นนี้จริง จะเป็นหนึ่งในปัจจัย ยืนยันว่า เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวตามที่ภาครัฐฯคาดหวังไว้ ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ใน ยามเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว คือ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม AOT (BK:AOT) ,ERW ,CENTEL ,MINT กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีTOP, PTTGC กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC SCGP เป็นต้น

สรุป พัฒนาการความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ดูมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผลักดัน ให้ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง และยังมีโอกาสที่จะกดดัน SET ให้ผันผวนช่วงในสั้นๆ ได้ อย่างไรก็ตาม SET INDEX ไม่น่าจะผันผวนมากนัก เนื่องด้วยมีสัดส่วนหุ้นกลุ่ม น้ำมันสูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักตลาดฯ ส่วนเช้านี้ติดตามตัวเลขการส่งออก/นำเข้าจีน ประจำเดือน เม.ย.67 ที่คาดฟื้นตัวขึ้นจากเดือนก่อน

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเติบโตต่ำ แต่ระยะถัดไปจะสดใสขึ้น

วานนี้ กกร. มีการปรับคาดการณ์ GDP GRWOTH ของไทยในปี 2567 ลดลงเหลือ เฉลี่ย 2.45% หรืออยู่ในกรอบ 2.2-2.7% (เดิมคาด 2.8-3.3%) ซึ่งถือเป็นระดับ ต่ำสุดเมื่อเทียบกับสำนักเศรษฐกิจต่างๆ หลังมองว่าภาคการส่งออกไทยปีนี้มี แนวโน้มได้เติบโตได้น้อยลงราว 0.5-1.5% (เดิมคาด 2.0-3.0%) ตามทิศทาง การค้าโลกที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ กดดันมูลค่าการ ส่งออกสินค้าไทนใน 1Q67 หดตัวลง -0.2%YOY ส่งผลให้การผลิต ภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรก

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจบ้านเรายังเห็นสัญญาณขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี ก่อน (GDP ไทย ปี 2566 +1.9%YOY) ทำให้ความคาดหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยได้ ผ่านพ้น BOTTOM OUT ไปแลัว มีมุมมองที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ภาวะ ดังกล่าวยังได้สะท้อนถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นอย่างมาก โดยภาครัฐ มีแผนอัดนโยบายต่างๆ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาทิ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 (G), โครงการ DIGITAL WALLET แจกเงิน 10,000 บาท (C), การส่งเสริม การลงทุนภาคเอกชน (I) เป็นต้น ขณะที่ระยะถัดไปเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนนโยบาย การเงิน-การคลังดำเนินไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น เพื่อมุ่งเป้าให้เศรษฐกิจไทย ขยายตัวได้แบบไม่สะดุด

สรุป เศรษฐกิจไทยเสี่ยงขยายตัวต่ำ แต่ความคาดหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยได้ผ่าน พ้น BOTTOM OUT ไปแลัว ยังมีมุมมองที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ระยะข้างหน้าเชื่อ ว่านโยบายการเงิน-การคลังจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น เพื่อมุ่งเป้าให้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้แบบไม่สะดุด หนุนให้หุ้นกลุ่ม DOMESTIC PLAY ค่อนข้าง น่าสนใจ

หาหุ้นมีโอกาสรับเม็ดเงินเพิ่ม หากกองทุน LTF ฟื้นกลับมา หากมีการฟื้น LTF กลับมา จะช่วยแก้ปัญญาตลาดหุ้นไทยที่เผชิญในปัจจุบันได้หลาย มิติ ดังนี้

▪ ลดแรงขายจากทางสถาบันฯ

▪ หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า

▪ ช่วยพยุงราคาลดผลกระทบจากการ SHORT SELL

▪ เพิ่มสภาพคล่องในระบบ

▪ หวังเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น

(ทุกหัวข้อสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทวิเคราะห์ MARKET TALK ประจำ วันที่ 08/05/67) ในอดีตเม็ดเงินจาก LTF มักจะไหลเข้าตลาดหุ้นราว 6 –7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยฝ่าย วิจัยฯ ทำการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมทุกๆ 1 หมื่น ล้านบาท จะหนุนให้ SET INDEX ขึ้นได้ราว 1.2% ดังนั้นคาดหวังว่าหากมีเม็ดเงิน LTF ใหม่เข้ามา อาจช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ถึง 100 จุด หรือวิ่งเข้าหาดัชนี เป้าหมายปลายปีที่ 1580 จุด นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ หาข้อมูลว่ากองทุน LTF ขนาดใหญ่ถือหุ้นอะไรบ้าง จากข้อมูล สัดส่วนการถือหุ้น 5 อันดับแรกในกองทุน LTF ที่ใหญ่ที่สุด 10 กองทุน ซึ่งกินสัดส่วน NAV ไปกว่า 65% ของ LTF ทั้งหมด 106 กองทุน ได้ผลลัพธ์

หุ้นที่กองทุน LTF ถือเยอะสุด คือ ถือหุ้น CPALL (BK:CPALL) มากสุดราว 8.2 พันล้านบาท รองลงมาคือ AOT ตามมาด้วย GULF, PTTEP, BBL, SCB, ADVANC, CPN, PLANB, PTT, CRC, BDMS, SCC ซึ่งถ้า LTF กลับมาได้สิทธิลดหย่อนภาษี หุ้น ดังกล่าวก็มีโอกาสถูกเม็ดเงินใหม่ผลักดันให้มีโอกาสปรับขึ้นได้

กำไร 1Q67 แต่ละอุตสาหกรรม เป็นอย่างไรบ้าง (PART2)

กลุ่ม ค้าปลีก : คาดในงวด 1Q67 หุ้นในกลุ่มพาณิชย์ ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ BJC, CRC, COM7, CPALL, CPAXT, HMPRO และ DOHOME จะมีกำไรปกติลดลง QOQ แต่ยังโตได้ YOY ทั้งนี้กำไรปกติที่ลดลง QOQ เกิดจากผลของฤดูกาล เพราะ โดยปกติแล้วในไตรมาส 4 ของทุกปี เป็น HIGH SEASON ของธุรกิจ โดยเราประเมิน ว่าหุ้นเกือบทุกบริษัทที่เราศึกษาจะมีกำไรที่ชะลอลง ยกเว้น ADVICE, DOHOME ที่จะ มีกำไรเติบโตได้ QOQ โดย ADVICE ได้แรงหนุนจาก EASY E-RECEIPT และการ เปิดตัวของ SAMSUNG รุ่นใหม่ ส่วน DOHOME มีแรงหนุนจากทั้งยอดขายและมาร์ จิ้นที่ดีขึ้น และหากเทียบ YOY กำไรโดยรวมของกลุ่มในงวด 1Q67 จะยังโตได้ โดยเรา เชื่อว่า CPALL น่าจะมีกำไร YOY ที่โตโดดเด่นสุด เพราะได้ประโยชน์จากทั้ง EASY ERECEIPT และยอดนักท่องเที่ยวที่มีมากขึ้น ส่งเสริมยอดขายในสาขาที่อยู่ในแหล่ง ท่องเที่ยว รองลงไปคือ CPAXT ที่คาดจะมี SSSG โตขึ้นทั้ง MAKRO และ LOTUS’S ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ YOY เราเลือก CPALL เป็นหุ้น TOP PICKS ของกลุ่ม

กลุ่ม ICT : คาดงวด 1Q67 หุ้นในกลุ่ม ICT ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ 3BBIF, ADVANC, TRUE, INTUCH, และ JMART ซึ่งมีมูลค่าตลาด (MARKET CAP.) รวมกันราว 80% ของมูลค่าตลาดรวมของหุ้นในกลุ่ม ICT ทั้งหมด จะมีกำไรปกติที่โตขึ้นทั้ง QOQ และ YOY โดยกำไรปกติที่โตได้ดี เป็นเพราะคาดว่าผลประกอบการของกลุ่มผู้ให้บริการ โทรศัพท์มือถือ (ADVANC และ TRUE) ซึ่งเป็นตัวหลักผลักดันกำไรของกลุ่ม จะมีกำไร ที่โตเด่นทั้ง QOQ และ YOY เนื่องจากรายได้ค่าบริการเพิ่มขึ้น ตาม ARPU ที่สูงขึ้น ขณะที่ควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นเรายังคงเลือก ADVANC เป็นหุ้น TOP PICK เนื่องจากเป็นหุ้นที่ยังมีกำไรแข็งแกร่ง และให้ปันผลในอัตราจูงใจ

กลุ่ม เครื่องดื่ม : คาดในงวด 1Q67 หุ้นในกลุ่มเครื่องดื่มที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ SNNP,ICHI และCBG จะมีกำไรปกติที่ลดลง QOQ แต่ยังเติบโตได้ YOY โดยกำไรรวม ที่ลดลง QOQ เกิดจากผลของฤดูกาลเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่เป็นช่วง HIGH SEASON ของธุรกิจ แต่หากเทียบYOY กำไรรวมของกลุ่มในงวด 1Q67 จะยังโตได้ดี โดยเราเชื่อว่า CBG น่าจะมีกำไรที่เติบโตโดดเด่นสุด เนื่องจากยอดขายโดยรวมเติบโต ทั้งจากในประเทศที่มีการจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขาย และจากต่างประเทศที่เศรษฐกิจ ของกลุ่มCLMVเริ่มฟื้นตัว และรับรู้รายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายเบียร์เต็มไตร มาส(เริ่มวางจำหน่ายเบียร์ พฤศจิกายน 2566) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและ บริหารลดลงจากการแบ่งสิทธิผู้สนับสนุนฟุตบอล EFL ให้กับบริษัทคู่ค้า(ผู้ผลิตเบียร์) ในช่วง4Q66เราเลือก CBG เป็นหุ้น TOP PICKS ของกลุ่ม

กลุ่ม เกษตรและอาหาร (CPF, ITC, TU) : ภาพรวมรายบริษัทมีทิศทางคล้ายคลึงกัน แนวโน้ม 1Q67 เป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไป โดย CPF (ประกาศงบ 13 พ.ค. 2567) คาด 1Q67 ขาดทุนปกติ 3.15 พันล้านบาท ลดลงจาก 7.33 พันล้านบาทงวดก่อน และ 3.4 พันล้านบาทงวดปีก่อน หนุนจากธุรกิจไก่ไทยฟื้น ตัวจากส่งออก และสุกรเวียดนามมีอุปทานลดลง ดันราคาขายเพิ่ม ช่วยลดผลกระทบ บางส่วนจากสุกรไทยและจีนที่ยังเผชิญกับปัญหาอุปทานล้น กดดันราคาขายต่ำกว่า ต้นทุนการเลี้ยง ขณะที่ ITC และ TU ประกาศงบแล้วเมื่อ 2 และ 8 พ.ค. ตามลำดับ โดย ITC รายงานกำไรปกติ 878 ล้านบาท ดีกว่าฝ่ายวิจัยและตลาดคาดพอสมควร สามารถเติบโต 112% YOY และ 8% QOQ เกิดจากมาร์จิ้นทำได้สูง จากราคาขาย สูงขึ้นผลจากการเพิ่มสัดส่วนขายสินค้าพรีเมียมที่มีมาร์จิ้นสูงและกลยุทธ์ปรับราคา ขาย ขณะที่ TU รายงานกำไรปกติตามคาด 932 ล้านบาท เติบโต 17% YOY (แต่ ลดลง 28% QOQ จากปัจจัยฤดูกาล) จากประสิทธิภาพทำกำไรธุรกิจหลักฟื้นตัว ชดเชยกับผลกระทบจากเลิกกิจการ RL และขายเงินลงทุนบริษัทร่วมทำให้ส่วนแบ่ง กำไรบริษัทร่วมลดลง รวมถึงภาษีและดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ในเชิง QOQ กำไร ปกติลดลง 28% จาก 4Q66 เหตุจากปัจจัยฤดูกาล

กลุ่ม ท่องเที่ยว: แนวโน้มกำไรกลุ่มฯ งวด 1Q67เท่ากับ 6.6 พันล้านบาท ลดลง 13% QOQ (+224% YOY) หลักๆ มาจากโรงแรมของ MINT ใน EU เข้าสู่ LOW SEASON ในขณะที่กำไรของหุ้นที่อิงกับการท่องเที่ยวไทยขยายตัวโดดเด่น จากช่วงฤดูกาล ท่องเที่ยวไทย นำโดย AOT (+27% QOQ, +207% YOY) และ ERW (+6% QOQ, +11% YOY) เด่นสุดในงวดนี้ เพราะคาดกำไรเพิ่มทั้ง QOQ และในเชิง YOY สูงเป็น อันดับ 1และ 2ของกลุ่มฯ ตามลำดับ ในทางตรงข้าม CENTEL การขยายตัวของกำไร ปกติ YOY แผ่วเบา เพราะถูกบั่นทอนงวดจากค่าใช้จ่าย หลังงวด 1Q66 ยังไม่มีแรงกดดันของโรงแรมในญี่ปุ่นที่เริ่มเปิดช่วง 2H66 ซึ่งยังคงมีผลขาดทุน, สัญญาเช่าใหม่ ของโรงแรมที่หัวหินตั้งแต่ 2Q66 และดอกเบี้ยจ่าย ตามวัฎจักรดอกเบี้ย (เพิ่มเติม INDUSTRY UPDATE กลุ่มท่องเที่ยว 7 พ.ค. 67) เลือก AOT(FV@B74) จากการเป็น หุ้นแกนหลักของการท่องเที่ยวไทย ส่วนกลุ่มโรงแรมเชิงกลยุทธ์มองไปที่ ERW (FV@B5.5) เพราะราคาหุ้น LAGGARD กลุ่มฯ และ HOP INN ญี่ปุ่นหลังเริ่มเปิดครบ 4 แห่งงวด 1Q67 มี OCCUPANCY RATE ราว 50% ถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับ สมมติฐานฝ่ายวิจัยทั้งปีที่คาดไว้ 55%

กลุ่ม พลังงานและปิโตรเคมี: ภาพรวมกำไรสุทธิของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีงวด 1Q67 โดยรวมเห็นการฟื้นตัวจากงวด 4Q66 จากทิศทางราคาน้ำมัน ค่าการกลั่น และ SPREAD ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวด 4Q66 โดยมีการ ประกาศผลการดำเนินงานของ PTTEP ที่รายงานกำไรสุทธิ 1Q67 เท่ากับ 1.87 หมื่น ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.2%QOQ เป็นผลมาจากรายการพิเศษสุทธิเป็นค่าใช้จ่าย พิเศษที่ลดลงจากงวดก่อนหน้ามีนัยฯ แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติพบว่าลดลง 9.7%QOQ มาอยู่ที่ 1.94 หมื่นล้านบาท ถูกกดดันจากทั้งปริมาณขายเป็นหลัก เช่นเดียวกับ IRPC ที่ผลการดำเนินงานงวด 1Q67 พลิกกลับเป็นกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่เผชิญกับผลขาดทุนสุทธิ 3.4 พันล้านบาท รับ ผลบวกหลักจากทั้งผลการดำเนินงานปกติที่เผชิญกับผลขาดทุนลดลงมีนัยฯ เหลือ 55 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าขาดทุนปกติสูงถึง 2.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการ MARKET GIM ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.45 จาก 4.31 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดีขึ้นจากทั้ง ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี และสาธารณูปโภค รวมถึงรายการพิเศษที่สุทธิแล้วพลิกกลับ เป็นรายได้พิเศษหลักๆมาจากกำไรสต๊อกน้ำมัน ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของ บริษัทอื่นๆในกลุ่มฯที่ยังไม่ประกาศผลอยู่ในทิศทางเดียวกัน อาทิ TOP ที่คาดการณ์ กำไรสุทธิงวด 1Q67 อยู่ราว 5.15 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.9%QOQ รับผลบวกหลัก จากทั้งแนวโน้มกำไรปกติที่คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัยฯ และรายการพิเศษที่สุทธิเป็น ค่าใช้จ่ายพิเศษรวมลดลง โดยกำไรปกติคาดจะเพิ่มขึ้น 50.6%QOQ มาอยู่ราว 5.9 พันล้านบาท ตามค่าการกลั่น (MARKET GRM) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 9.3 จาก 7.2 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า ขณะที่ PTTGC ถึงแม้คาดผลการดำเนินงาน สุทธิ 1Q67 จะพลิกกลับมาเผชิญผลขาดทุนอีกครั้งราว 755 ล้านบาท จากงวดก่อน หน้าเป็นกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท กดดันหลักจากรายการพิเศษที่สุทธิเป็น ค่าใช้จ่ายสุทธิที่ราว 1.2 พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้าเป็นรายได้พิเศษรวมสูงถึง 7.2 พันล้านบาท แต่ผลการดำเนินงานปกติ 1Q67 คาดจะพลิกกลับเป็นกำไรปกติ ได้มาอยู่ราว 405 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่เผชิญกับผลขาดทุน 2.1 พันล้านบาท รับผลบวกหลักจากธุรกิจปิโตรเคมีทั้งโอเลฟินส์ โพลีเมอร์ และอะโรเมติกส์ที่มีผลการ ดำเนินงานดีขึ้น ส่วน IVL นั้น ทิศทางผลการดำเนินงานปกติงวด 1Q67 คาดจะเห็น การฟื้นตัว QOQ ซึ่งอาจจะเผชิญกับผลขาดทุนที่ลดลง หรือ BREAKEVEN หรือ เป็นกำไรได้บางๆ จากความหวังทิศทาง SPREAD ผลิตภัณฑ์ในทุกกลุ่มของ IVL ที่เห็น การฟื้นตัวจากงวด 4Q66 เนื่องจากมีผู้ประกอบการที่ไม่คุ้มค่าการผลิตทยอยลด กำลังการผลิต หรือหยุดผลิตเป็นการชั่วคราวทั้งในจีน ยุโรป และอเมริกา จึงทำให้ SUPPLY บางส่วนหายไปจากตลาด หนุนให้ SPREAD เห็นการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด เป็นต้น

สำหรับในส่วนของธุรกิจถ่านหิน แนวโน้มผลการดำเนินงานปกติของ BANPU งวด 1Q67 ต้องลุ้นว่าจะยังสามารถเป็นกำไรปกติที่บางๆใกล้เคียงกับในงวด 4Q66 เนื่องจากธุรกิจหลักถ่านหิน และธุรกิจก๊าซธรรมชาติ กำลังผ่านพ้นช่วงฤดูกาลซึ่งเป็น ช่วงฤดูหนาวในหลายทวีปทั่วโลกในช่วงไตรมาส 1 ส่งผลให้ราคาขายถ่านหิน และ ราคาก๊าซธรรมชาติ จากนี้ไปมีแนวโน้มอ่อนตัวลง (ราคาถ่านหินอ้างอิง BJI ปัจจุบัน อยู่ที่ 122.8 เหรียญฯต่อตัน และราคาก๊าซธรรมชาติ HENRY HUB ปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 เหรียญฯต่อพันลูกบาศก์ฟุต (MCF)) อีกทั้งในช่วง 1Q67 จะเป็นการเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ของอินโดนีเซีย ประเทศผลิตถ่านหินหลักของ BANPU จะส่งผลให้ปริมาณขาย ปรับตัวลดลง QOQ แต่ทั้งนี้คาดจะได้รับผลบวกจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่คาดจะเห็นการ ฟื้นตัวจากโรงไฟฟ้าทั้งในสหรัฐฯและจีน รวมถึงต้นทุนขายที่คาดจะปรับตัวลดลงมา ช่วยได้บ้าง ตามแผนการลดต้นทุนของบริษัท และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่จะ ไม่สูงเท่ากับไตรมาส 4 ของทุกปี ที่จะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษปิดงบปลายปี

กลุ่ม โรงไฟฟ้า : กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่: ทิศทางกำไรปกติของกลุ่มฯ เห็นการฟื้น ตัวขึ้นได้ดี QOQ จากฐานกำไรที่ต่ำในงวด 4Q66 โดยในเบื้องต้นฝ่ายวิจัย คาดกำไร ปกติของ GPSC จะฟื้นตัวมีนัย 103.1%QOQ มาอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท, BGRIM คาดฟื้นตัว 20.7%QOQ มาอยู่ที่ 461 ล้านบาท, และ BPP คาดฟื้นตัวมาอยู่ที่ 363.7 ล้านบาท จากเพียง 23.4 ล้านบาทในงวดก่อนหน้า ปัจจัยหนุนหลักมาจาก 1) ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงฤดูกาล ทั้งการอยู่ในช่วงฤดูหนาวใน ประเทศจีน และสหรัฐฯในช่วงต้นปี และการผ่านพ้นช่วง LOW SEASON ของการ เรียกใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยมาแล้วในงวด 4Q66 , 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงตาม ช่วงฤดูกาล เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพนักงานดังที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี , 3) การหยุด ซ่อมบำรุงตามแผนที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และมีต้นทุนค่าใช้จ่าย ด้านการซ่อมบำรุงที่ลดลง ซึ่งจะช่วยหนุนให้อัตรากำไร (GPM) ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ ตาม อาจมีปัจจัยเฉพาะตัว กดดันผลประกอบการในบางบริษัทให้ปรับตัวลดลงได้ อาทิ GULF ซึ่งคาดกำไรปกติงวด 1Q67 จะอ่อนตัวลงเล็กน้อย 1.7%QOQ มาอยู่ราว 4.1 พันล้านบาท จากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่ลดลง เนื่องจากไม่มีการรับรู้รายการ พิเศษบางรายการดังที่เคยเกิดขึ้นในงวดก่อนหน้า เป็นต้น

กลุ่ม โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน : ทิศทางกำไรเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล โดยงวด 1Q67 บริษัทที่กำไรปกติฟื้นตัวได้ QOQ คือ BCPG ซึ่งมีกำไรปกติเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 343.1ล้านบาท จากเดิมเพียง 38.7 ล้านบาทในงวด 4Q66 หนุนจากกลุ่มโรงไฟฟ้าใน USA ที่ฟื้นตัวในช่วงฤดูหนาวเป็นหลัก รวมถึงบริษัทอื่นๆที่คาดจะมีกำไรฟื้นตัวได้แก่ TPIPP ซึ่งคาดกำไรปกติฟื้นตัว 8.8%QOQ มาอยู่ที่ 813 ล้านบาท หนุนหลักจากค่า FT ที่ปรับตัวสูงขึ้น และ SSP ที่คาดได้รับแรงหนุนจากการเริ่มต้นเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON ของกลุ่มโรงไฟฟ้า SOLAR ในขณะที่บริษัทที่คาดจะมีกำไรปกติลดลง QOQ ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ อาทิ CKP ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งในงวด 1Q67 , กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลม อาทิ EA GUNKUL ซึ่งคาดกระแสลมจะเริ่มอ่อนตัวลงตาม ช่วงฤดูกาล

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย