สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและท่าทีไม่รีบลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่ของปี
จับตา ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พร้อมติดตาม รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ, การปรับปรุงอัตราเงินเฟ้อ CPI และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นต่อ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ (น้อยกว่า 5-6 ครั้ง) ในส่วนของค่าเงินบาท โมเมนตัมฝั่งอ่อนค่ากลับมาอีกครั้ง หลังเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าเร็วและแรงจากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. ที่อาจกดดันเงินบาทได้ หากมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ หรือ มีการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หากบรรดานักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะในส่วนของบอนด์ระยะสั้น หากเงินบาทอ่อนค่าหนัก
มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
35.30-35.90 บาท/ดอลลาร์ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) หลังจากที่ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการในเดือนธันวาคม ได้สะท้อนภาพการชะลอตัวลงหนักของการจ้างงานในภาคการบริการ ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการในเดือนมกราคม จะส่งสัญญาณต่อภาพรวมของภาคการบริการ โดยเฉพาะการจ้างงานอย่างไร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตา การปรับปรุงอัตราเงินเฟ้อ CPI ในส่วนของ Seasonal Factor ซึ่งอาจส่งผลให้ อัตราเงินเฟ้อ CPI ชะลอลงมากขึ้น หรือ น้อยลงได้พอสมควร โดยหากโมเมนตัมของอัตราเงินเฟ้อ CPI สะท้อนว่า อัตราเงินเฟ้ออาจยังไม่สามารถชะลอลงจนเข้าใกล้เป้า 2% ได้ภายในครึ่งแรกของปีนี้ ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดยิ่งมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่กำลังประเมินอยู่ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ขณะเดียวกัน เรามองว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ก็อาจเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สามารถส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในปีนี้ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (CPI Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะกลาง รวมถึง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด โดยหากผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าเฟด (ก่อนเดือนพฤษภาคม) ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) ผันผวนอ่อนค่าลงได้ ทั้งนี้ ค่าเงินยูโร (EUR) อาจผันผวนไปตามทิศทางของตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในฝั่งยุโรปเช่นกัน
ฝั่งเอเชีย – ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนมกราคมของจีน ซึ่งจะช่วยสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า ทั้ง RBA และ RBI จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.35% และ 6.50% ตามลำดับ หลังอัตราเงินเฟ้อได้ชะลอลงพอสมควร โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อของออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน ภาพรวมเศรษฐกิจก็มีการชะลอตัวลงบ้าง ลดความจำเป็นของการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
ฝั่งไทย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเรามองว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ทว่า เราจะจับตาอย่างใกล้ชิด ว่า กนง. จะมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับเริ่มส่งสัญญาณเตรียมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น หากจำเป็น หรือไม่ โดยหาก กนง. มีการปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2024 และ 2025 รวมถึงอัตราการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชน อย่างชัดเจน เช่น อัตราการเติบโตเศรษฐกิจทั้งสองปี “ต่ำกว่า” ระดับศักยภาพของเศรษฐกิจที่ +3%y/y พอสมควร ก็จะเพิ่มโอกาสที่ กนง. อาจทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้ ทั้งนี้ ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุม กนง. ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนมกราคม โดยเราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI อาจ “ติดลบ” ราว -0.9% จากปัจจัยระดับฐานราคาสินค้าและบริการที่สูงมากในปีก่อนหน้า ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในช่วงเดือนมกราคม อาจพอช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อได้บ้าง ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาพลังงานและอาหารสดอาจยังทรงตัวที่ระดับ 0.60% สอดคล้องกับภาพการทยอยฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศและภาพเศรษฐกิจโดยรวม
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก