รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

หุ้น 3 ตัวในปี 2023 ที่ทำผลงานได้ดี: แต่แนวโน้มปี 2024 จะเป็นอย่างไร

เผยแพร่ 25/12/2566 12:21
อัพเดท 07/04/2565 15:55

AI บูรณาการเข้ากับโซเชียล หุ้นสามตัวที่ยังคงเป็น "การซื้อที่แข็งแกร่ง" ด้วยเหตุผลที่ดี

การลงทุนในหุ้นได้กลายเป็นตลาดสำคัญของชีวิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความมั่งคั่งพังทลายจากภาวะเงินเฟ้อ การสำรวจภาวะการเงินผู้บริโภค (SCF) ของเฟดรายงานการเป็นเจ้าของหุ้นนั้นสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2022 ที่ 58% เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดตลอดกาลก่อนหน้านี้ที่ 53% ช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก

ดัชนีหลัก S&P 500 (SPX) กำลังจะขึ้นถึงระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 4796.56 ในวันที่ 3 มกราคม 2022 หลังจาก FOMC ส่งสัญญาณหลายครั้งว่าวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำลังจะสิ้นสุดลงหลังจากการหยุดชั่วคราวอีกครั้ง SPX ขณะนี้ถือกำไรเพิ่มขึ้น 24.32% ที่ 4,758.50

จากเครื่องมือวัดอัตราดอกเบี้ยเฟดแสดงให้เห็นว่ามีโอกาส 74.89% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2024 เนื่องจากมีการจัดหาเงินกู้ที่ถูกกว่าในอนาคต ดัชนี Nasdaq 100 (NDX) แตะระดับสูงสุดใหม่ตลอดกาลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นอกเหนือจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่อยู่ภายใต้ดัชนี S&P 500 แล้ว MicroStrategy (NASDAQ:MSTR) มีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 302% YTD โดยติดตามราคากระทิงของ Bitcoin

ภายในดัชนี S&P 500 นั้น Nvidia (NASDAQ:NVDA) มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดที่ 243% ตามมาด้วย Meta (NASDAQ:META) ที่ 182% และ Royal Caribbean Cruises (NYSE :RCL) ที่ 152% ด้านหุ้นที่ได้รับความนิยมสูงสุด เช่น Apple (NASDAQ:AAPL) และ Microsoft (NASDAQ:MSFT) ไปจนถึง Amazon (NASDAQ:AMZN) และ Alphabet (NASDAQ:{ {6369|GOOGL}}) ต่างก็ได้รับกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 50% – 80% เมื่อเทียบเป็นรายปี

คำถามคือ SPX ที่ทำกำไรได้สูงในปีนี้จะพร้อมสำหรับ low-selling ในปี 2567 หรือไม่

1. Nvidia

ในปี 2023 Nvidia ก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากบริษัท GPU ที่เน้นไปที่ตลาดวิดีโอเกม มาเป็นซัพพลายเออร์ศูนย์ข้อมูลที่เน้นไปที่ความต้องการ AI เชิงสร้างสรรค์ ในรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ล่าสุด Nvidia สร้างรายได้ 18.12 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 205% จาก 5.93 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

หลังจากเอาชนะการคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 3.09 ดอลลาร์ โดยทำได้ถึง 3.71 ดอลลาร์ในไตรมาสนี้ กลุ่ม Data Center ของ Nvidia เติบโตขึ้น 279% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ 14.51 พันล้านดอลลาร์ ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจส่วนเกมที่มีมายาวนานของบริษัท มีการเติบโตเพียง 81% หรือคิดเป็นเป็น 2.86 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ตลาดโลกทั้งสองแห่งมีแนวโน้มการเติบโตเป็นเลขสองหลัก ตลาดศูนย์ข้อมูลมีแนวโน้มที่จะสูงถึง 554.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 10-13% ในแนวทางเดียวกัน ภาคเกมก็จะมีมูลค่าถึง 610.6 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 โดยมี CAGR อยู่ที่ 10.5%

ในทั้งสองภาคส่วนความเหนือกว่าของ Nvidia นั้นแข็งแกร่ง โดยมีฐานที่มั่นคงถึง 87% ในตลาด GPU ในฐานะซัพพลายเออร์หลักของ GPU สำหรับ Google (NASDAQ:GOOGL) Amazon Microsoft Oracle (NYSE:ORCL) และอื่น ๆ Nvidia ถูกกำหนดให้ดำเนินการตามความต้องการด้านปริมาณงาน AI ในปี 2024 แม้ว่า การควบคุมการส่งออกชิป USG ไปยังประเทศจีนได้จำกัดชิป A800 H800 A100 H100 และ L40S ของ Nvidia แต่คู่แข่งอย่าง Intel (NASDAQ:INTC) และ AMD (NASDAQ:AMD) ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ แนวโน้มรายได้ของ Nvidia ในไตรมาสที่ 4 ของปีงบฯ 2024 จึงอยู่ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์หรือคลาดเคลื่อนไม่เกิน 2% กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ Nvidia กำลังดำเนินการเพื่อให้บรรลุการครอบคลองตลาดส่วนใหญ่ด้านศูนย์ข้อมูล AI เช่นเดียวกับที่ประสบความสำเร็จในเวทีวิดีโอเกม ตอนนี้ตลาดกำลังมุ่งหน้าไปสู่ขนาด 667.96 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยมี CAGR ที่ 47.5%

โดยรวมแล้ว Nvidia เป็นกรณีที่หายากในการเป็นทั้งหุ้นบลูชิปและหุ้นที่มีการเติบโตสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนสูงแม้ว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นถึงสามหลักแล้วก็ตาม จากข้อมูลของนักวิเคราะห์ 38 รายที่ Nasdaq สัมภาษณ์ NVDA ถือเป็น “การซื้อที่แข็งแกร่ง” โดยเป้าหมายราคาของ NVDA เฉลี่ยอยู่ที่ 661.35 เหรียญสหรัฐฯ เทียบกับปัจจุบันที่ 491 เหรียญสหรัฐฯ ค่าประมาณสูงสุดอยู่ที่ 1100 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าประมาณต่ำสุดอยู่ที่ 560 ดอลลาร์

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

2. Meta Platforms

ด้าน Meta นั้นถือเป็นอีกด้านของตลาด ด้วยการแพร่กระจายแพลตฟอร์ม Facebook Instagram และ WhatsApp ทำให้ Meta กำลังไล่ตามโมเมนตัมในการดูดซับสตาร์ทอัพขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งหมด Meta มีการขยายส่วนแบ่งการตลาดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 16.86% (ตามรายได้ทั้งหมด)

จากโมเมนตัมนี้ รายได้สุทธิของ Meta ในไตรมาสนี้จึงเพิ่มขึ้นถึง 163% ซึ่งมากกว่าการเติบโตของธุรกิจทั้งภาคส่วนที่ 56% อย่างมาก โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่รายนี้กำลังฝึกฝน AI อย่างหนัก โดยได้ร่วมเปิดตัว AI Alliance กับ IBM (NYSE:{8082|IBM}}) ในเดือนธันวาคมนี้

ด้วยการเข้าถึงนักพัฒนาและนักวิชาการชั้นนำในสาขา AI Meta กำลังปรับปรุงตัวเองเพื่อประสิทธิภาพการลดต้นทุนที่มากขึ้นในด้านการขายโฆษณา โดยเห็นได้จากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของ Meta ที่แสดงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน 40% ซึ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าจาก 20% ในไตรมาสของปีที่แล้ว

เนื่องจาก Meta Platform แสดงให้เห็นว่าสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการดำเนินงาน นักวิเคราะห์ 41 รายที่ถูก Nasdaq สัมภาษณ์ ได้ให้ META เป็น "การซื้อที่แข็งแกร่ง" โดยเป้าหมายราคา META เฉลี่ยอยู่ที่ 387.35 ดอลลาร์ เทียบกับปัจจุบัน 350 ดอลลาร์ ค่าประมาณสูงที่สุดคือ 435 ดอลลาร์ ในขณะที่ค่าประมาณต่ำสุดอยู่ที่ 345 ดอลลาร์

3. Royal Caribbean Cruises

หลังจากการล็อกดาวน์ในต้นปี 2020 อุตสาหกรรมการเดินเรือก็ตกอยู่ในความย่ำแย่ นอกจากการล่มสลายของบริษัทเรือสำราญแล้ว บางแห่งก็ปิดตัวลงอย่างถาวร มีเรือสำราญท่องเที่ยวทางทะเลและ Pullmantur เพียงบางส่วนที่ถูกขาย ทิ้ง หรือส่งคืนให้กับ Royal Caribbean Group

Royal Caribbean กลายเป็นกลุ่มบริษัทที่เกิดขึ้นจากวิกฤติครั้งนี้ รองจาก Carnival Corporation (NYSE:{22696|CCL}}) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 33.11% ในทางกลับกัน ผลการดำเนินงานหุ้นของบริษัทนั้นอยู่ที่ 153% ในปี 2023 ด้านกำลังซื้อนั้นยังคงอ่อนแอเนื่องจาก Royal ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด

รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 นั้น Royal รายงานผลการดำเนินงานดีกว่าการคาดการณ์ที่ 3.65 ดอลลาร์ต่อหุ้น การปรับโครงสร้างของบริษัทได้ผล โดยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นและอัตราผลตอบแทนสุทธิที่ 19.1% และ 16.7% ตามลำดับ เทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2019

ด้วยเงินฝากของลูกค้ารวมกันถึง 5 พันล้านดอลลาร์ Royal คาดการณ์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในปี 2024 ซึ่งมากกว่าปี 2019 ดังนั้นข้อมูลของนักวิเคราะห์ 18 รายที่สัมภาษณ์โดย Nasdaq จึงทำให้หุ้น RCL เป็น "การซื้อที่แข็งแกร่ง" เป้าหมายราคา RCL เฉลี่ยอยู่ที่ 129 ดอลลาร์ เทียบกับปัจจุบัน 123 ดอลลาร์ ค่าประมาณสูงสุดอยู่ที่ 148 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าประมาณต่ำสุดอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อหุ้น

ทั้งผู้เขียน Tim Fries และเว็บไซต์ The Tokenist ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการเงิน โปรดศึกษานโยบายเว็บไซต์ของเราก่อนตัดสินใจทางการเงิน

***

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบน The Tokenist ตรวจสอบจดหมายข่าวฟรีของ The Tokenist เรื่อง Five Minute Finance สำหรับการวิเคราะห์รายสัปดาห์เกี่ยวกับแนวโน้มที่ใหญ่ที่สุดในด้านการเงินและเทคโนโลยี

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย