รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

วิเคราะห์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ “Israel-Hamas”อย่างเข้าใจ และเป็นระบบ(Part 1)

เผยแพร่ 17/10/2566 20:44

สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่ได้ดำเนินมาเกือบ 2 สัปดาห์ และยังไม่มีทีท่าที่จะจบลงได้ง่าย ได้สร้างความสูญเสียอย่างประเมินค่ามิได้ ต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเราขอแสดงความเสียใจต่อผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และหวังว่า สถานการณ์สงครามจะคลี่คลายลงได้ในเร็ววัน เพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้ว่า เราจะคาดหวังว่า สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสและพันธมิตร Axis of Resistance (ที่มีเป้าหมายเหมือนกันคือ ต่อต้านการเข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่ตะวันออกกลางของสหรัฐฯ และพันธมิตรของสหรัฐฯ อาทิ อิสราเอลและซาอุฯ) จะยุติลงได้ในเร็ววันนี้ ทว่า สถานการณ์สงครามก็มีความเสี่ยงที่จะลุกลาม ขยายวงกว้าง จนอาจกลายเป็นความขัดแย้งในระดับภูมิภาคในระดับที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงการก่อตั้งประเทศอิสราเอล เช่น สงคราม Yom-Kippur 1973 ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์สงครามและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จึงมีความสำคัญและเราจะพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยมี Framework สำหรับประเมินความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ซึ่งเรามองว่าปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นความเสี่ยงที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

เนื่องจากในช่วงบทวิเคราะห์ถูกเผยแพร่ เรามองว่า ผู้อ่านอาจได้รับทราบข้อมูลเบื้องหลังหรือความเป็นมาของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสมาพอสมควรแล้ว ดังนั้น ในบทวิเคราะห์นี้ เราจะไม่ขอลงรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ทว่า เราอยากเน้นย้ำว่า ความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังการจัดตั้งประเทศอิสราเอลในปี 1948แต่เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานนับพันปี ดังนั้น ในการจะวิเคราะห์สถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้น เรามองว่าควรทำความเข้าใจถึงความเป็นมาของปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาคดังกล่าว เพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นไปได้ของการตัดสินใจของผู้มีส่วนร่วมในความขัดแย้งนั้นๆ โดยการทำความเข้าใจดังกล่าว ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Framework ในการประเมินและวิเคราะห์เความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เหมือนกับที่เราได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ในปีที่แล้ว ทั้งนี้ ผู้อ่านท่านใดต้องการที่จะเข้าใจความเป็นมาของความขัดแย้งดังกล่าวเพิ่มเติม เราได้มีแหล่งข้อมูลแนะนำในส่วนท้ายของบทวิเคราะห์นี้

สำหรับ Framework ในการประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ที่เราใช้นั้นจะมีขั้นตอนดังนี้

1) ศึกษาและทำความเข้าใจผลกระทบของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ต่อตลาดการเงิน รวมถึงการตัดสินใจของผู้มีส่วนได้เสียในความขัดแย้งดังกล่าวจากข้อมูลในอดีต
2) ประเมินความเป็นไปได้ของแต่ละสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเรายอมรับว่า เราไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น เราจะศึกษาบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับ การศึกษาทำความเข้าใจความเป็นไปของความขัดแย้งของเรา เพื่อสรุปออกมาเป็นแต่ละ Scenario ที่อาจเกิดขึ้นในมุมมองของเราเอง
3) ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน (Risk Sentiments) ในแต่ละ Scenario ที่เราได้สรุปออกมา
4) ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดการเงิน โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยในกรณีนี้ เราจะให้ความสำคัญต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางได้

สำหรับเหตุผลที่เราจะให้ความสนใจต่อผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบนั้น มาจากการที่เรามองว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีการพึ่งพาพลังงานในระดับที่สูง ดังจะเห็นได้จากการที่ ระดับอัตราการบริโภคพลังงานต่อ GDP หรือ Energy-Intensity ที่ทรงตัวในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา สวนทางกับแนวโน้มการปรับตัวลดลงของตัวเลขดังกล่าวในฝั่งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศในฝั่งอาเซียนด้วยกัน ดังนั้น ทิศทางของราคาน้ำมันดิบจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและแนวโน้มของเงินบาทได้ โดยจากการศึกษาข้อมูลในอดีตของเราพบว่า การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบสามารถส่งผลกระทบต่อดุลการค้าของไทย และเป็นอีกปัจจัยที่อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวขึ้นแรงและอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน หรือ ในช่วงที่การส่งออกมีปัญหา

และนอกเหนือจากเหตุผลโครงสร้างพลังงานของประเทศไทย เรามองว่า สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาสที่กำลังร้อนแรงอยู่นั้น แม้ว่าคู่ขัดแย้งจะมิใช่ผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันที่มีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก ทว่า หากสงครามทวีความรุนแรงมากขึ้นและบานปลายจนนำไปสู่ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบได้อย่างมีนัยสำคัญโดยจากข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 1973 พบว่า สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายสำคัญ (อาทิ ประเทศในกลุ่ม OPEC+) จะส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบสามารถพุ่งสูงขึ้นกว่า +100% โดยเฉลี่ย (Outlier คือ สงคราม Yom-Kippur 1973 ที่นำมาสู่ Oil Embargo ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นกว่า +279%) อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสนใจว่า หากความขัดแย้งจำกัดอยู่เพียงอิสราเอลกับปาเลสไตน์ (ในกรณีล่าสุด คือ กลุ่มฮามาส) พบว่า ความขัดแย้งดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบผันผวนสูงได้ในระยะสั้น

ดังนั้น ในการประเมิน Scenario ที่เป็นไปได้ของสถานการณ์สงคราม เราจะตั้งต้นจากตัวแปรที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบ ซึ่งในกรณี คือ ท่าทีของกลุ่มประเทศใน OPEC+ ซึ่งจากการศึกษาจากข้อมูลความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางในอดีตจนถึงปัจจุบัน เราพบว่า กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางอาจไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากนัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของนโยบายแบ่งแยกและปกครอง (Divide and Conquer/Rule) ในยุคล่าอาณานิคม จนถึงช่วงศตวรรษที่ 21 แต่ละประเทศอาจมีเป้าหมายในการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ คือ สหรัฐฯ รัสเซียและจีน ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ หากพิจารณาจากขอบเขตของความขัดแย้งอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส (อ้างอิงการศึกษาโดย Independent Strategy) เราอาจแบ่ง Scenario ที่อาจเป็นไปได้ดังนี้

1) Base Case Scenario: สงครามมีโอกาสยืดเยื้อได้ แต่ไม่ลุกลามและบานปลาย โดยมีคู่ขัดแย้งแค่อิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และกลุ่ม Axis of Resistance บางกลุ่ม
2) Iran Strike Back: สงครามขยายวงกว้าง จนกระทบต่ออิหร่าน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่ อิหร่านมีการตอบโต้กลับ หลังบรรดาประเทศตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน เช่น สหรัฐฯ กลับมาอายัดเงิน 6 พันล้านดอลลาร์ ที่อิหร่านได้จากการขายน้ำมัน หรือ มีการใช้กำลังทางทหารจากฝั่งตะวันตก/อิสราเอลต่ออิหร่าน หากมีหลักฐานชี้ชัดว่า อิหร่านอยู่เบื้องหลังการโจมตีของกลุ่มฮามาสล่าสุด
3) It’s 1973 again!: สงครามขยายวงกว้าง จนบานปลายเป็นสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง และรัสเซียอาจเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้ ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกับช่วงสงคราม Yom Kippur 1973

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย