ประเมินความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองที่มีต่อทิศทาง SET Index มีสูงขึ้น หลังจากที่วานนี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องกรณีที่ พรรคก้าวไกล นำประเด็น เรื่องการแก้ไข/ยกเลิก ม.112 ของ ป.อาญา ไว้พิจารณา ขณะที่ กกต. มีมติกรณี Candidate นายกฯ จากก้าวไกล ถือหุ้นสื่อ ว่ามีมูล และให้ส่งเรื่องให้ ศาลรัฐธรรม นุญวินิจฉัยต่อไป ซึ่งคาดว่าศาลฯ จะมีการพิจารณาในสัปดาห์หน้าว่าจะรับ หรือไม่รับ เรื่องไว้พิจารณา และหากรับแล้วจะสั่งให้ หยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. หรือไม่ ในอีกทางหนึ่งเริ่มเห็นการจัดกิจกรรมทางการเมืองนอกสภา โดยมีการนัดหมาย กันในหลายจังหวัด ภายใต้ภาวะดังกล่าวน่าจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองมี ความเสียงมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งหากการโหวตเลือก นายกรัฐมนตรี ในรัฐสภา วันนี้ ไม่มีข้อสรุป ภาวะแวดล้อมดังกล่าวน่าจะทำให้นักลงทุน Wait & See
ระดับความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองที่สูงขึ้น น่าจะทำให้ตลาดอยู่ในความผันผวน ภายใต้มูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ประเมินกรอบ SET Index วันนี้ช่วง 1475 – 1500 จุด แนะนำถือเงินสดไว้บางส่วน Top Pickเลือก GULF, PTTEP และ STEC
สินทรัพย์เสี่ยงตลาดโลกเข้าสู่โหมด Risk-On หลังเงินเฟ้อ สหรัฐฯ มิ.ย. +3.0%ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ป
วานนี้ตลาดหุ้นโลกดีดตัวขึ้นได้ดี โดยฝั่งสหรัฐปิดในแดนบวกตัวราว 0.3% - 1.2% ส่วนในฝั่งยุโรปปรับตัวขึ้นราว 1.5% - 1.8% ขานรับปัจจัยบวก หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยและไหล เข้าสู้เสี่ยงมากขึ้น สะท้อนจาก Dollar Index-1.9% รวมถึง Bond Yield สหรัฐฯ 2 ปี – 5 ปี ปรับตัวลดลงเกือบ 3%
โดยวานนี้ทางการสหรัฐฯ เผยตัวตัวเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. +3.0% YoY ต่ำกว่าคาดที่ +3.1% YoY และชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ +4.0%YoY ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลง 12 เดือนติดต่อกัน รวมถึงทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งมาจากการการปรับตัวลดลงของ ราคาพลังงานเป็นหลัก ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเดือน มิ.ย. อยู่ที่ +4.8%YoY ต่ำกว่า คาดที่ +5.0%YoY และลดลงจากเดือนก่อนที่ 5.3%ทำให้Real Interest rateในปัจจุน ที่มาจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย (5.25%) – เงินเฟ้อพื้นฐาน (4.8%) อยู่ที่ 0.45% ซึ่งพลิกกลับมาบวกเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
ด้วยเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเป็นขาลง เข้าใกล้กรอบเป้าหมาย 2% มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ล่าสุด Fed Watch Tool ยังคงมีมุมองว่า Fed มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงแค่ ครั้งเดียวในปีนี้โดยมีเพดานอยู่ที่ 5.50%
ปัจจัยภายนอกที่เป็นบวกจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยพยุงให้เงินบาท ไม่ให้อ่อนค่าเร็ว ท่ามกลางความเสี่ยงปัจจัยทางการเมืองที่อาจทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามา ในบ้านเราได้ไม่เต็มที่
ดังนั้น เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ Fed ใกล้ ยุติการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยไหลเข้าสู่ สินทรัพย์มาก ทั้งนี้ ปัจจัยภายนอกที่เป็นบวกเชื่อว่าจะเข้ามาช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้ อ่อนค่าเร็ว ท่ากลางความเสี่ยงจากปัจจัยเฉพาะตัวจากประเด็นทางการเมืองที่ไม่ แน่นอน
วันนี้ เลือกนายกฯ ภายใต้หลายประเด็น กดดัน SET
กำหนดการเลือกนายกรัฐมนตรีเริ่มเปิดประชุมเวลา 09.30 น. โดยจะมีการอภิปราย ของ ส.ส. และ ส.ว. รวมราว 6 ชั่วโมง และคาดว่าจะเริ่มลงคะแนนโหวตนายกรัฐมนตรีราว 17:00 น. โดยเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการทำข้อตกลง MOU ร่วมกันมีเพียง 312 เสียงซึ่งขาดอีก 64 เสียง ซึ่งต้องพึ่งพาเสียงจาก สว. ซึ่งต้องติดตามว่าผลลัพธ์จะ เป็นเช่นไร?
อย่างไรก็ตามการโหวตนายกฯ ยังมีหลายประเด็นที่ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคสำคัญ สำหรับ Candidate นายกฯ จากพรรคก้าวไกล เช่น
• กรณีที่พรรคก้าวไกลชูนโยบายหาเสียง แก้/ยกเลิก ม.112 มีประเด็นว่าเข้าข่าย ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ ม.49 วรรคหนึ่ง หรือไม่? ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง ไว้วินิจฉัยแล้ว โดยแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ฝั่งผู้ร้อง และพรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน และเพื่อประโยชน์แก่การ พิจารณา ให้แจ้งอัยการสูงสุดว่าหากอัยการสูงสุดได้รับพยานหลักฐานใด เพิ่มเติม ให้จัดส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
• กรณีการถือหุ้นสื่อ (iTV) ของ Candidate นายกฯ ล่าสุด กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 เห็นว่า มีมูล โดยอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ประกอบมาตรา 101 (6)จึงมีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการ ประชุมครั้งถัดไปวันที่ 19 ก.ค.66 คาดว่าจะมีความคืบหน้าของประเด็น ดังกล่าว
สรุป แม้วันนี้เป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้น ถือ ได้ว่ามีความไม่แน่นอนสูง และอาจทำให้การโหวตนายกฯ ครั้งแรก อาจไม่ได้ข้อสรุป และ อาจต้องติดตามการโหวตครั้งถัดไปในวันที่ 19-20 ก.ค.66 ฝ่ายวิจัยฯ เห็นว่าประเด็น การเมืองจะยังคงผันผวนไม่รู้ผลลัพธ์ที่แน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวน ภายใต้มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อไป จนกว่าจะเห็นความชัดเจน และเชื่อว่า Fund Flow ต่างชาติยังคงไม่ไหลเข้ามาสะสมในเร็ววัน โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1475-1500 จุด
แนะนำให้เองเอียงมาที่หุ้น Global Playชั่วคราว
ความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐสูง ลดน้อยลง หนุนเม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย สะท้อนจาก Bond Yield 2 ปีสหรัฐที่ลดลงเร็วกว่า 43 bps. ในช่วง 4 วัน เหลือ 4.76% เช่นเดียวกับ Dollar Index อ่อนค่าลงมา 3% ในช่วงเวลาเดียวกันเหลือ 100.5 จุด ช่วย หนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลก Outperform ได้ดีในสัปดาห์นี้ เช่น หุ้นฮ่องกง +2.7% wtd, เยอรมนี +2.7% wtd, สหรัฐ +1.8% wtd, เวียดนาม +1.4% wtd, อินโดนีเซีย +1.4% wtdขณะที่ไทยยังLaggard โดยทรงๆ ตัว +0%wtd
หากวิเคราะห์ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยราย Sector ในวานนี้ พบว่า เห็นกลุ่มหุ้นที่ Outperform คือ กลุ่มหุ้น Global Play หลบความผันผวนภายใน และกลุ่มหุ้นสลับขั้ว ทางการเมือง ในทางตรงกันข้ามเริ่มเห็นกลุ่มหุ้นที่ Underperform คือ หุ้น Domestic จากความกังวลสูญญากาศทางการเมือง, หุ้นท่องเที่ยวจากการกังวลประเด็นม็อบ
สรุปปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ภาพตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะ “ข้างนอกสุกใส ข้างในตะติ้งโหน่งหรือไม่?” ระยะสั้นแนะนำเองเอียงพอร์ตมาที่หุ้น Global Play ชั่วคราว อาทิ PTTGC, SCC, SCGP, PTTEP เป็นต้น หรือหากมีสัญญาณการสลับขั้วทาง การเมือง หรือประเด็นการเมืองยืดเยื้อ แนะนำ Trading หุ้นพื้นฐานที่ย่อลงมาลึกจากความกังวลการเปลี่ยนผ่านนโยบายทางการเมือง STEC, CK, BEM, SAWAD, JMT, TIDLOR, CBG, CRC, TRUE, CPN, CPALL (BK:CPALL), GPSC, BGRIM, GULF, PTTGC
OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 ใครรอด – ใครร่วง
ฝ่ายวิจัยฯ จะมานำเสนอ OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 รายอุตสาหกรรม โดย
แบ่งเนื้อหาของแต่ละอุตสาหกรรม ตามการจัดตารางรายวัน ดังนี้
จันทร์10 ก.ค.66 กลุ่มธพ, ท่องเที่ยว, ยานยนต์
อังคาร11 ก.ค.66 กลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร
พุธ12 ก.ค.66 กลุ่มรับเหมา,วัสดุก่อสร้าง
พฤหัสบดี 13 ก.ค.66 กลุ่มปิโตรฯ, พลังงาน, ถ่านหิน, โรงไฟฟ้า
ศุกร์14 ก.ค.66 กลุ่มนิคมฯ,Logistic, อสังหา
โดยวันนี้เป็นคิวของกลุ่มกลุ่มปิโตรฯ, พลังงาน, ถ่านหิน, โรงไฟฟ้า โดยมีรายละเอียด
ทางพื้นฐาน ดังนี้
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี(-QoQ / -YoY) สำหรับแนวโน้มกำไรกลุ่มพลังงานและปิโตร เคมีงวด 2Q66 โดยรวมคาดจะปรับตัวลดลงจากงวด 1Q66 ถูกกดดันหลักจากธุรกิจ ปิโตรเลียม และธุรกิจถ่านหิน ตามทิศทางราคาน้ำมัน และถ่านหินที่ปรับตัวลดลง ซึ่ง การปรับตัวลดลงของกำไรที่ค่อนข้างมีนัยฯในงวด 2Q66 อยู่ที่ธุรกิจโรงกลั่น เนื่องจาก ค่าการกลั่นเฉลี่ยอิงตลาดสิงคโปร์ในงวด 2Q66 ลดลงมาอยู่ที่ 4.0 จาก 8.2 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า สะท้อน spread น้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวลดลงทุก ผลิตภัณฑ์ QoQ โดยเฉพาะน้ำมันกลุ่ม middle distillate (jet+diesel) ที่ค่อนข้างลดลง มีนัยฯ ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลหลังผ่านช่วง high season ไปแล้วในไตรมาส 4 และ 1 ของ ทุกปี ดังนั้นคาดผลการดำเนินงานปกติของธุรกิจโรงกลั่นในงวด 2Q66 น่าจะเห็นการ ปรับตัวลดลงมีนัยฯ QoQ ประกอบการที่ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบเฉลี่ยในงวด 2Q66 ที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 77.5 จาก 80.2 เหรียญฯต่อบาร์เรล มีแนวโน้มที่จะมีการบันทึก เป็นขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันอีกด้วย
นอกจากนี้การปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบดังกล่าว รวมกับการปรับตัวลงราคาก๊าซ ธรรมชาติ ซึ่งปกติจะมี lag-time 3-6 เดือน จากราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ย ปิโตรเลียมของผู้ผลิตและสำรวจปิโตรเลียมเช่น PTTEP ปรับตัวลดลง ประกอบกับใน งวด 2Q66 ปริมาณขายลดลง และต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรปกติปรับตัว ลดลง แต่ในส่วนของกำไรสุทธิเห็นการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากรายการพิเศษ พลิกกลับเป็นกำไรหลักๆมาจากกำไรจาก hedging และ Fx
ส่วนอีกกลุ่มธุรกิจที่กดดันกำไรของกลุ่มพลังงานในงวด 2Q66 มาจากกลุ่มถ่านหิน ซึ่ง เป็นไปตามค่าเฉลี่ยราคาถ่านหินอิงดัชนี BJI งวด 2Q66 ที่อยู่เพียง 160.4 เหรียญฯ ต่อตัน ลดลงจากค่าเฉลี่ยในงวด 1Q66 ที่ 251.6 เหรียญฯต่อตัน หรือลดลง 36.2%qoq ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงภายใต้ภาวะปกติหลังจากผ่านช่วงฤดูกาลช่วง high season ฤดูหนาวปลายไตรมาส 4 และต่อเนื่องในไตรมาส 1 ไปแล้ว ดังนั้นคาด ทิศทางผลการดำเนินงานปกติของกลุ่มถ่านหินใน 2Q66 จะลดลง QoQ
ขณะที่แนวโน้มกำไรของกลุ่มปิโตรเคมีในงวด 2Q66 น่าจะดูดีสุดของกลุ่ม โดยคาดจะ เห็นการฟื้นตัวของ spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้ง 2 สายการผลิตอะโรเมติกส์และโอ เลฟินส์ แม้อาจยังไม่โดดเด่นมากนัก เนื่องจาก demand ยังไม่กลับมาจากภาพรวม เศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะจีน แต่คาดหวังได้ว่า spread น่าจะ ค่อยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วง 2H66 ภายใต้สมมติฐานจีนพยายามที่จะออกมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ดังนั้นคาดผลการดำเนินงานของกลุ่มปิโตรเคมีโดยภาพรวม น่าจะอยู่ในทิศทางค่อยๆฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดใน 4Q65 ต่อเนื่องมายังในงวด 1Q66 และ 2Q66 ทั้งนี้ TOP PICKS ของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเลือก PTTEP, PTTGC และ TOP
กลุ่มโรงไฟฟ้า(+QoQ / +YoY) คาดทิศทางกำไรปกติในช่วง 2Q66ของกลุ่มฯโดยรวม จะปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ หนุนหลักจากกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วง High season ของฤดูกาลขายไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน ทำให้ปริมาณขายไฟฟ้าโดยรวมคาดจะ ปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ ในขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP คาดกำไรยังดูทรงตัวใกล้เคียงกับ งวด 1Q66 แม้จะได้รับผลกระทบจากค่าไฟฟ้าผันแปร ( Ft ) ที่ปรับตัวลดลง แต่เป็นผล มาจากจากต้นทุนพลังงานที่เริ่มมีทิศทางขาลง จึงคาดอัตรากำไร (GPM) คาดยัง ประคองตัวใกล้เคียงเดิม QoQ และหากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565 คาดเห็นการฟื้นตัวของกำไรปกติชัดเจน YoY เนื่องจากไม่มีนโยบายตรึงค่า Ft เพื่อช่วยเหลือภาค ประชาชนไว้เหมือนปีก่อนหน้า และจำเป็นต้องมีการทยอยคืนหนี้บางส่วนให้กับ กฟผ. ส่งผลให้ค่า Ft สะท้อนต้นทุนพลังงานที่แท้จริงได้มากขึ้น
ในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน คาดกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ อาทิ CKP BCPG และกลุ่มโรงไฟฟ้า solar อาทิ SSP เป็นต้น จะมีผลประกอบการดีขึ้น QoQ ตาม การออกจากช่วง low season ของฤดูกาลน้ำในงวด 1Q66 มาแล้ว และจะเริ่มเข้าสู่ช่วง High season ของ solar ในช่วง 2Q66แต่อย่างไรก็ตามคาดในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงาน ลม เช่น EA, GUNKUL เป็นต้น จะมีผลประกอบการที่ลดลงตามกระแสลมเริ่มอ่อนตัว ตามช่วงฤดูกาล ในส่วนของคำแนะนำ เลือก GULF, BGRIM, และ GPSC เป็น Top picks กลุ่มฯ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities