13 ก.ค.66 (พฤหัสบดี) ถูกกำหนดเป็นวันที่รัฐสภา จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงปัจจุบันกระแสความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ยังมีอยู่มาก โดยช่วงต้นสัปดาห์นี้ กกต. จะมีการพิจารณาเรื่องการถือหุ้นสื่อ ของ Candidate นายกฯจาก ก้าวไกลว่าจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา หรือไม่ ทั้งนี้ประเมินว่า SET Index จะตอบสนองเชิงบวกได้หากกระบวนการ โหวตเลือกนายกฯ ที่ไม่ยืดเยื้อ และ ได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ - เอกภาพ ซึ่ง ถือเป็น Best Case หากเป็นไปในทางตรงข้ามก็อาจสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ได้ สำหรับประเด็นอื่นเป็นเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ดูเหมือนกระแส ความกังวลเรื่อง เงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ย ค่อยๆ ปรับลดลง แต่ระดับความกลัวเรื่อง เศรษฐกิจถดถอย กำลังจะมีน้ำหนักมากขึ้น
ถือว่า SET Index อยู่ในช่วงรอยต่อที่สำคัญ ในเชิงกลยุทธ์แนะนำให้ถือเงินสด สำรองบางส่วนไว้ในพอร์ต วันนี้คาด SET Index ผันผวนในกรอบ 1475 –1500 จุด หุ้น Top Pick เลือก JMT, SIRI และ PTTEP
ราคาน้ำมันดีดตัว จากความกลัวดอกเบี้ยขาลงทำ Dollar Index อ่อนค่า + ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาค การเกษตรเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 209,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดที่ 225,000 ตำแหน่ง ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ 306,000 แสนตำแหน่ง รวมถึงเพิ่มขึ้นน้อยสุดในรอบกว่า 2 ปี เนื่องจากการจ้างงานภาคผลิตหดตัว โดยเมื่อนับตั้งแต่ช่วงปี 2021 การจ้างงานฯ เฉลี่ยรายปีมีปรับตัวลดลงชัดเจน สะท้อนถึงตลาดแรงงานสหรัฐเข้าสู่ภาวะตึงตัวมาก ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Bloombergเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัวลง อีกทั้งยังได้ประเมินเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% ในช่วงปี 2568
ขณะเดียวกันจากภาคการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง ทำให้ตลาดคาดว่า Fed จะขึ้น ดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในปีนี้โดยผลการสำรวจของ Fed Watch Tool ประเมินเพดาน ดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.5% (ต่ำกว่าตัวเลข Dot Plot ที่ 5.6%) ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ แนวโน้มดอกเบี้ยของ Bloomberg ที่เชื่อว่าดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะ ทยอยลดลงในช่วงต้นปี 2567 เป็นต้นไป
ด้วยความกังวลเรื่องดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงในระยะถัดไป จนอาจนำไปสู่ความกังวล เรื่องเศรษฐกิจ Recession ได้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ในวันศุกร์อ่อนค่า -0.82% ซึ่งใน การวิเคราห์ทางเทคนิค หาก Dollar Index หลุด 102 จุด น่าจะอ่อนค่าอีกรอบมาที่ 101 จุด ขณะเดียวกันความเสี่ยงเชิงภูมิฐศาสตร์มีโอกาสทวีความรุนแรงมากขึ้น หลัง รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจจะส่งระเบิดพวง (cluster munitions) หลายพันลูกให้ยูเครน ซึ่งมี อนุภาพร้ายแรงและประเทศส่วนใหญ่ในโลกห้ามใช้
ทั้งนี้ปัจจัยความกลัวข้างต้นเข้ามาช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดีดตัวในช่วงสั้น โดย น้ำมันดิบ Brent ดีดตัวกว่า 2.4% และมีสัญญาณบวกจากการผ่านแนวต้าน 78 เหรียญฯ ด่านถัดไป 80 เหรียญฯ ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะเป็นอานิสงค์ต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ในบ้านเรา แนะนำหุ้น PTTEP PTT (BK:PTT) SPRC TOP
สรุป ภาคแรงงานสหรัฐมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น ทำให้เพิ่มระดับความกังวลเรื่อง ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงในระยะถัดไป จนอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเศรษฐกิจ Recession ได้ ส่งผลให้ค่างินดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ อาจทวัความรุนแรง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วงหนุนในราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในช่วงสั้นได้
ประเด็นการเมืองใกล้ได้ตัวนายก แต่มีอุปสรรคขวางหน้า คาด สัปดาห์นี้ SET จะผันผวน
ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค. 66 เวลา 09.30 น.ซึ่งเหลือเวลาอีก 4วันเท่านั้น โดยล่าสุด พรรคก้าวไกลยังนัดพรรคร่วม รัฐบาลทั้ง 8 พรรค หารือกันเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนโหวตนายกรัฐมนตรีในวัน อังคารที่ 11 ก.ค.66 ซึ่งจุดยืนของพรรคร่วมทั้ง 8 พรรค คือ การสนับสนุนพรรคก้าว ไกลตั้งรัฐบาลตาม MOU ที่ได้ลงนามกันไว้และไม่มีการคิดแผนสำรองใดๆ
อย่างไรก็ตามประเด็นความเสี่ยงที่จะเกิดขี้นในช่วงก่อนถึง 13 ก.ค.66 ยังมีอยู่ โดย ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เตรียมพิจารณาคำร้องกรณีการ ถือหุ้นสื่อ ของ Candidate นายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ว่าจะส่งให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือไม่ประเมิน Timeline เบื้องต้น ดังนี้
• 10 ก.ค. สำนักงาน กกต.เตรียมเสนอข้อเท็จจริง + หลักฐาน ให้ คณะกรรมการ กกต. พิจารณา
• 12 ก.ค. กกต. พิจารณาว่าจะมีมติให้เสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่
• 13 ก.ค. หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณา ติดตามต่อว่าจะมี คำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติส.ส.ไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย หรือไม่
ดังนั้น ภายใต้ประเด็นการเมืองที่มีความไม่แน่นอนในระดับสูง และกำลังเข้าใกล้จุด เปลี่ยนที่สำคัญในวันที่ 13 ก.ค.66 ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนในกรอบแคบ จนกว่าจะรู้ผลลัพธ์ และเชื่อว่า Fund Flow ต่างชาติยังคงไม่ไหลเข้ามาสะสมในเร็ววัน โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1475-1500 จุด แต่หาก การจัดตั้งรัฐบาลผ่านไปด้วยดี การทะลุระดับแนวต้านขึ้นไปใกล้ 1550 จุด ก็มีโอกาส เกิดขึ้นได้
ตลาดหุ้นไทยมูลค่าซื้อขายเบาบาง...รอโหวตนายกฯ แนะนำ SIRI JMT PTTEP
วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย +0.05 จุดเท่านั้น และมีมูลค่าซื้อขายเบาบางเหลือ เพียง 3.5 หมื่นล้านบาท โดยในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา มีถึง 3 ใน 5 วันทำการ ที่มูลค่า ซื้อขายต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปีนี้มี 17 ใน 126 วันทำการ ที่มูลค่าซื้อขายต่ำ กว่า 4 หมื่นล้านบาท
และจากสถิติในอดีตย้อนหลัง 5 ปี พบว่า เวลาหุ้นมูลค่าซื้อขายต่ำกว่า 5 หมื่นล้าน บาท หุ้นมีโอกาสปรับลง -13% ต่อปี(-0.06%ต่อวัน) หากสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท มี โอกาสขยับขึ้น +8% ต่อปี(+0.03%ต่อวัน)
ขณะที่สัปดาห์นี้นักลงทุนยังรอการโหวตนายกฯ ในวันพฤหัสฯที่ 13 ก.ค. 66 ทำให้ แนวโน้มมูลค่าซื้อขายยังเบาบางต่อ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังขาดแรงขับเคลื่อน รวมถึงหากหุ้นใดมีปัจจัยลบเฉพาะตัวอาจผันผวนมากกว่าปกติ กลยุทธ์แนะนำหุ้น แนวโน้มกำไร 2Q66 เด่น คือ SIRI, ADVANC, PTTEP, GULF, SCGP, GPSC, BEM, JMT, CK, PLANB ฯลฯ
สำหรับวันนี้ ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1480 – 1500 จุด Top pick เลือกหุ้น ย่อตัวลงกำไร 2Q66 ดี อย่าง SIRI, JMT และหุ้นได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันขยับขึ้น PTTEP
OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 ใครรอด – ใครร่วง
ฝ่ายวิจัยฯ จะมานำเสนอ OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 รายอุตสาหกรรม โดย แบ่งเนื้อหาของแต่ละอุตสาหกรรม ตามการจัดตารางรายวัน ดังนี้
จันทร์10 ก.ค.66 กลุ่มธพ, ท่องเที่ยว, ยานยนต์
อังคาร11 ก.ค.66 กลุ่มค้าปลีก, เครื่องดื่ม, สื่อสาร
พุธ12 ก.ค.66 กลุ่มรับเหมา,วัสดุก่อสร้าง
พฤหัสบดี 13 ก.ค.66 กลุ่มปิโตรฯ, พลังงาน, ถ่านหิน, โรงไฟฟ้า
ศุกร์14 ก.ค.66 กลุ่มนิคมฯ,Logistic, อสังหา
โดยวันนี้เป็นคิวของกลุ่มธพ, ท่องเที่ยว, ยานยนต์ โดยมีรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้
กลุ่มธนาคาร(+QoQ / +YoY) - เข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงานงวด 2Q66 เริ่ม ด้วย TISCO ในวันที่ 12 ก.ค. 66 และปิดท้ายด้วย KBANK (BK:KBANK) และ SCB ในวันที่ 21 ก.ค. 66 โดยกำไรสุทธิกลุ่มฯ (8 ธนาคาร) งวด 2Q66 ในมุมมองฝ่ายวิจัยอยู่ที่ 5.9 หมื่น ล้านบาท (+0.3% QOQ, +15% YOY) แรงส่งจาก NIM ของ ธ.พ. ใหญ่ ซึ่งคาด KTB รายงานกำไรเด่นสุดในกลุ่มฯ เชิง QOQ ราว 5.7% ส่วน BBL ขยายตัวสูงสุดในกลุ่มฯ เทียบ YOY ราว 52% YOY ทั้งนี้ หากกำไรสุทธิกลุ่มฯ 2Q66 ตามคาด จะทำให้กำไร สุทธิกลุ่มฯ งวด 1H66 อยู่ที่ 1.18 แสนล้านบาท (+14% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 55.4% ของประมาณการกำไรกลุ่มฯ ปี 2566 ของฝ่ายวิจัยที่ 2.1 แสนล้านบาท (+8.4% YoY) และ 53% ของประมาณการกำไรปี 2566 ของ Bloomberg Consensus ณ 30 มิ.ย. 66 สำหรับการลงทุนหุ้นในกลุ่มฯ ทางพื้นฐาน เรียงตามความชอบดังนี้ KTB (Outperform : FV@B2 0 . 3 0 ) > BBL (Outperform : FV@B2 1 7 4 ) > SCB (Outperform : FV@B132) > KBANK (Neutral : FV@B140) ส่วน ธ.พ. เล็กเลือก TISCO (Neutral : FV@B108) > KKP (Underperform : FV@B73) ขณะที่ในเชิงกล ยุทธ์ภายใต้การเมืองที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นช่วงต้น 3Q66 จึงลุ้นโอกาสการ ไหลกลับของ Fund Flow ต่างชาติ ทำให้ ธ.พ. ใหญ่ที่ถูก NVDR (NVDR Limit ที่ 25%) ลดน้ำหนัการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่มฯ อย่าง KBANK สัดส่วน NVDR จากสิ้นปี 2565 ที่ 18.8% เหลือ 12.5% ณ สิ้น มิ.ย. 66 หรือ SCB สัดส่วน NVDR จากสิ้นปี 2565 ที่ 6.2% เหลือ 6.0% ณ สิ้น มิ.ย. 66 ช่วงสั้นมี Risk to reward น่าสนใจมากกว่า ธ.พ. ที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดช่วงก่อนหน้านี้
กลุ่มท่องเที่ยว(+QoQ / oYoY) –แนวโน้มกำไรกลุ่มฯ 2Q ฟื้นตัว QoQ แรงส่งจาก Big cap อย่าง MINT ที่เข้าสู่ High Season ใน EU (สัดส่วนราว 50% ของรายได้รวม) รวมทั้ง AOT (BK:AOT) ได้ลุ้นจากส่วนลดให้กับคู่ค้าทยอยกลับสู่ระดับปกติ โดยรวมชดเชยการ อ่อนตัวของกำไรปกติ ERW และ CENTEL ที่เข้าสู่ Low Season ของท่องเที่ยวไทย (CENTEL ถูกกดดันเพิ่มเติมจากมัลดีฟส์ สัดส่วนราว 7% ของรายได้รวมปี 2562 เข้า Low Season เช่นเดียวกับไทย) ขณะที่ระยะถัดไป ด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติมา ไทยเบื้องต้น มิ.ย. 66 เพิ่ม 9% MoM สะท้อนการท่องเที่ยวไทยที่น่าจะผ่าน Low Season ช่วง พ.ค. แล้ว คาดหนุนกำไรบริษัทที่มีโครงสร้างรายได้จากไทยเป็นหลัก ไต่ ระดับ QoQ ต่อเนื่องถึง 1Q67 โดยเฉพาะ 4Q66 และ 1Q67 ซึ่งเป็น High Season ของ ท่องเที่ยวไทย ภาพดังกล่าวบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีสัดส่วนจากท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก เรียงตามสัดส่วนรายได้จากไทยดังนี้ AOT > ERW > CENTEL > MINT ทั้งนี้ ใน เชิงกลยุทธ์ MINT(Outperform : FV@B38) ที่ราคาหุ้น outperformed กลุ่มฯ ในช่วง ก่อนหน้า จาก High Season ใน EU เริ่มมี Risk to reward ลดลง เมื่อเทียบกับหุ้น ท่องเที่ยวไทยอย่าง AOT(Outperform : FV@B80), ERW (Outperform : FV@B5.70) และ CENTEL (Neutral : FV@B60) ที่ราคาหุ้นปรับฐานจาก Low Season สวนทาง ทิศทางกำไรรายปีที่ฟื้นตัว น่าจะมี Risk to reward น่าสนใจกว่า ตามความเห็นของ ฝ่ายวิจัย
กลุ่มยานยนต์(-QoQ / +YoY) – แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q66 อ่อนตัว QoQ ตามวัน ผลิตลดลงจากช่วงวันหยุดยาวช่วง เม.ย. แต่เพิ่ม YoY สะท้อนจากยอดผลิตรถยนต์ ไทย เม.ย. ทรงตัว YoY และ พ.ค. เพิ่ม 16% YoY โดยฝ่ายวิจัยมองว่า AH จะมีอัตรา การเติบโตเชิง YoY สูงกว่า SAT จากยอดขายมีแรงหนุนจากค่ายรถยนต์ FORD (ปีที่ 2 ของการ Model Change) ประกอบกับช่วง 2H65 –1Q66 Gross margin (GPM) มี พัฒนาการ YoY ตรงข้ามกับ GPM ของ SAT ยังลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ ทิศทางกำไรปกติ 3Q66 ของทั้ง 2 บริษัท เริ่มฟื้นตัว QoQ หลังผ่าน low Season อย่างไรก็ดีราคาหุ้น AH (FV เดิม @B35 อยู่ในช่วงทบทวนประมาณการและคำแนะนำ) นับตั้งแต่ต้นปี outperformed SET Index พอสมควร สะท้อนการขยายตัวของกำไรใน ปีนี้บางส่วนแล้ว ด้าน SAT(Neutral : FV@B23) แม้ราคาหุ้น YTD ให้ผลตอบแทน ใกล้เคียงตลาดและ Laggard AH แต่เพราะตลาดยังติดตามการบริหารจัดการสัดส่วน SG&A/Sales เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นของการรุกธุรกิจใหม่ อย่าง E-BUS, Logistic, Smart factory, ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลการเกษตร ตรงข้ามกับยอดขายที่ต้องใช้เวลาใน การรับรู้ ภาพรวมจึงมองว่า Risk to reward ของทั้ง 2 ตัว ยังไม่เด่น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities