สโลแกนหุ้นน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดวันพรุ่งนี้ บอกถึงจุดแตกต่างจากบริษัทขนส่งทั่วไปที่เน้นรายย่อย ส่งด่วน ส่งเร็ว ส่งของชิ้นเล็ก การแข่งขันก็จะดุเดือดกว่า
TPL หรือ Thai Parcel Logistics ทำธุรกิจมาเกือบ 20 ปี
-
ที่บอกว่าส่งหนัก คือ 200 กิโลกรัมส่งได้
-
ที่บอกว่าส่งใหญ่ คือ ความยาว 6.5 เมตร ส่งได้
-
และที่บอกว่า ส่งทั่วไทย คือ จะให้ส่งที่เกาะ หรือส่งบนดอยก็ส่งได้เช่นกัน ที่สำคัญ คือ ส่งถึงบ้านและเก็บเงินปลายทางเลย
จะให้ส่งล้อรถยนต์ จักรยาน ตู้เย็น โซฟา ของแต่งบ้านแต่งสวน ของเล่นเด็ก อาหารสัตว์ ส่งได้หมด
ลูกค้าแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กระจายพอๆ กัน คือ
33.3% B2B
30.6% B2C
36.1% C2C
ดูแล้วน่าสนใจ แต่มี 2 ประเด็นที่ต้องรู้ คือ
1. ลูกค้าใหญ่มี 2 เจ้า รวมกัน 40-50% ของยอดขาย เจ้าหลัก คือ LAZADA เป็น B2C อีกเจ้าเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากการเกษตร คือ B2B แปลว่า ถ้าเราเห็นยอดขายหรือโปรโมชั่น LAZADA เยอะ กับสินค้าเกษตรขายดี ก็มีโอกาสที่ TPL จะได้ส่งของเยอะขึ้นตามไปด้วย
2. แนวโน้มมาทาง C2C มากขึ้น เพราะต้องการกระจายความเสี่ยงจากเจ้าใหญ่ แต่สิ่งที่ตามมาด้วย คือ การแข่งขันที่สูงขึ้น ค่าขนส่งต้องลดลงมา ขนาดสินค้าก็จะส่งเป็นชิ้นเล็กมากขึ้น
ผลประกอบการย้อนหลัง
ปี 2563 รายได้รวม 709 ล้านบาท กำไรสุทธิ 127 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม 534 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้รวม 486 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21 ล้านบาท
Q1’65 รายได้รวม 117 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.4 ล้านบาท
Q1’66 รายได้รวม 134 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.1 ล้านบาท
รายได้พีคช่วง COVID ที่มีการซื้อของออนไลน์เยอะ
การขนส่งก็ดีตามไปด้วย แต่พอหลังจากนั้นก็ลดลงตามมา หรือถ้าช่วงไหน LAZADA จัดโปรเยอะ ยอดขายก็จะดีขึ้นมาด้วย
ส่วนกำไรขึ้นกับ 3 อย่าง คือ จำนวนพนักงาน ค่าจ้างรถร่วม และราคาน้ำมัน ปกติบริษัทจะมีรถของตัวเอง 300 คัน รถร่วม 100 คัน มีจุดรับส่งสินค้า 130 จุดทั่วประเทศ กำไรก็จะมาจากการบริหารคนให้เหมาะสมกับการขนส่ง และอยู่กับราคาน้ำมันด้วย ช่วงไหนน้ำมันขึ้น ยิ่งขนของชิ้นเล็กเยอะ ยิ่งใช้รถร่วมเยอะ กำไรก็จะไม่ค่อยดี
รายได้ปกติปีนึง อาจจะมองได้ว่า อยู่ซัก 500 ล้านบาท GPM 18-19% NPM 8-9%
ปีนี้ Q1 ดูดีขึ้นเพราะว่า LAZADA Birthday เดือนมีนาคม ขายดี ปริมาณขนส่งดี และมีการขยายไปส่งสินค้ายา สินค้าสุขภาพมากขึ้น แต่ลูกค้า B2B ไม่ดีนัก อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ปีนี้เพิ่มรถกระบะเยอะกว่าปกติ คงมาเน้น C2C มากขึ้น
===========================
ราคาหุ้น 3.30 บาท 120 ล้านหุ้น หลักๆ เอาไป
1. เปลี่ยนรถ 79 คัน เป็น EV และสร้างสถานีชาร์จของตัวเอง 17 แห่ง แน่นอนว่า ประหยัดค่าน้ำมันได้พอสมควร แต่ก็จะมีค่าบำรุงรักษารถ กับจะไปลดค่าขนส่งให้ลูกค้าด้วย ยิ่งสะท้อนภาพว่า การแข่งขันสูงในตลาด B2C, C2C
2. ลงทุนในศูนย์คัดแยกและกระจายสินค้าระดับภูมิภาค 3 แห่ง (นครสวรรค์ นครราชสีมา และสุราษฎร์ธานี) และลงทุนในศูนย์กระจายสินค้าจำนวน 2 แห่งในกรุงเทพฯ อันนี้ดี ตามการขนส่งที่เติบโต
=======================
VI รายใหญ่เข้ามาถือหุ้น
ถ้าฟังจากที่ผู้บริหารเล่าใน Money Chat คือ เข้ามาเพิ่มทุนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แปลว่า ทุนต่ำกว่า IPO แน่นอน และในแง่มูลค่าไม่ได้เยอะเลยเมื่อเทียบกับขนาดพอร์ตของ VI เหล่านั้น ต้องรอดูพรุ่งนี้ว่ารายชื่อจะเป็นอย่างไร
ประเด็นผู้ถือหุ้นที่น่าสนใจนอกจาก VI คือ AQUA เข้ามาถือหุ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว และบอกว่าจะไม่ขายออกมา รวมทั้งเป็นหุ้นตัวแรกที่ Liberator ให้สิทธิ์จองซื้อหุ้นด้วย
โดยสรุป TPL อยู่ในธุรกิจขนส่ง แต่อาจจะดูดีกว่าตรงที่ทำกำไรได้ตลอด เพราะเน้นส่งของชิ้นใหญ่ ตลาด Niche กว่า แต่ก็พึ่งพา LAZADA อยู่เยอะ ทำให้ต้องหันมาทาง C2C มากขึ้น ซึ่งก็จะต้องลงมาเจอการแข่งขันด้านราคากับหลายเจ้า และก็อาจจะเจอข้อจำกัดเรื่อง routing เรื่องเวลาในการส่ง ที่อาจจะไม่ได้ไวกว่าเจ้าตลาด ส่วนการขยายตลาดไปหาลูกค้าเจ้าอื่นทั้งภาครัฐและเอกชนก็เป็นโอกาสที่น่าติดตาม
ใครสนใจ ลองประเมินในหลายๆ แง่ หลายๆ มุมดูครับ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น