ความเป็นไปได้ที่ กกต. จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ครบเกณฑ์(ไม่ น้อยกว่า 95%) ในวันที่ 21 มิ.ย.66 หลังจากนั้นจะเปิดสมัยประชุมสภาฯ ภายใน 15 วัน เพื่อโหวตเลือก ประธานสภาฯ และ นายกรัฐมนตรี ถือเป็นความคืบหน้า ทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมครั้งแรกหลังการเลือกตั้ง ภาวะดังกล่าวน่าจะสร้าง แรงกระตุ้นให้กับ SET Indexได้ในระยะสั้นๆ หลังจากนั้นต้องติดตามผลการโหวต เลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้งว่าจะราบรื่นหรือไม่ ส่วนทิศทางของดอกเบี้ย ซึ่ง ตอนนี้มีความเชื่อกันว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีก เรามองว่าจะเป็นปัจจัยที่ จำกัด Upsideของตลาด เหตุเพราะทำให้Market Earning Yield Gapแคบลง
เชื่อว่าการรับรองผลการเลือกตั้ง ของ กกต. และกำหนดการเปิดประชุมสภาฯ ที่ ชัดเจนขึ้น จะช่วยหนุน SET Index ในระยะสั้น ประเมินกรอบช่วง 1550 –1570 จุด หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), SCC และ SCGP
ดอกเบี้ยขาขึ้นส่อแววไม่จบ กดตลาดหุ้นอยู่ใน Freeze Zone
อัตราเงินเฟ้อหลายประเทศที่ทยอยลดลงมาเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ธนาคาร กลางต่างๆ มีการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันมากขึ้น สรุปได้ดังนี้
• สหรัฐฯ : Fed มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวไว้ที่ 5.25% ตามคาด ในวันที่ 14 มิ.ย. หลังจากที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย 10 ครั้งติดต่อกันนับเดือนมี.ค. 256 ขณะที่ Dot Plot ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 5.6% ภายในสิ้นปีนี้
• ยุโรป : ECB มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.0% ตามคาด ในวันที่ 15 มิ.ย. โดยเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 8 ครั้งติดต่อกัน และยังเป็น ระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี นอกจากนี้ ECB ยังคงส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ย ต่อ ในเดือน ก.ค. เพื่อกดเงินเฟ้อให้เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2%
• ไทย : BOT มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.0% ตามคาด ใน วันที่ 31 พ.ค. สอดคล้องเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนระยะ ถัดไป กนง. พร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายฯ ให้สอดรับกับภาพรวมเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ในวันที่ 16 มิ.ย. ตลาดคาดว่า BOJ จะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ -0.1% ส่วนใน วันที่ 22 มิย. คาดว่า BOE จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 4.75% หลังเงินเฟ้อยังอยู่ ในระดับสูง
ด้วยแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกที่ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ และสูงกว่าก่อนช่วงโควิด มาก กดดันให้ Fund Flow บางส่วนเคลื่อนย้ายเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย กดดันให้ สภาพคล่องในตลาดหุ้นลดลงไปมาก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ ค่าเฉลี่ย Turnover ต่อปี นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เหลือเพียง 64.8% (ดอกเบี้ยนโยบายล่าสุด 2.0%) ต่ำกว่าช่วงปี 2020 – 2022 ซึ่งเกิดโควิด มี Turnover ต่อปี อยู่ในกรอบที่สูงถึง 84% -108.8% (ดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% -1.25%)
ภายใต้สภาพคล่องซื้อขายที่หดหาย ขาดเม็ดเงินใหม่มาสนับสนุน ส่งผลให้ตลาดอยู่ ในโหมด Sector Rotation โดยสังเกตจาก กลุ่มหุ้นที่เคยขึ้นมาแรงเริ่มชะลอการขึ้น อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว, ICT, การแพทย์, ยานยนต์ เป็นต้น แต่กลุ่มหุ้นที่ลงลึก เริ่ม กลับมา Outperform อาทิ กลุ่มปิโตรฯ, บรรจุภัณฑ์, อาหาร เป็นต้น กลยุทธ์แนะนำ Trading หุ้นลงลึกที่เริ่มกลับมาฟื้น อย่าง IVL, PTTGC, SCGP, ITC, TU, CBG, GPSC, BCPG, GULF เป็นต้น
สรุป อัตราเงินเฟ้อที่ทยอยลดลงในหลายประเทศ ส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ มีการ ดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันมากขึ้น โดยล่าสุด Fed ได้คงดอกเบี้ยไว้ชั่วคราว ส่วน ECB รวมถึงบ้านเราเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 25 bps. สู่ระดับ 4.0% และ 2.0% ตามลำดับ เนื่องจากยังมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อสูง ทั้งนี้ดอกเบี้ยนโยบายทั่ว โลกที่สูงกว่าก่อนช่วงโควิดมาก และยังมีแนวโน้มเพิ่มต่อ กดดันให้ Fund Flow บางส่วนเคลื่อนย้ายเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย กดดันให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นให้ลด น้อยลง
คาด กกต.ประกาศรับรอง ส.ส. 21 มิ.ย.66 เห็นความชัดเจนเริ่ม อย่างเป็นนัยฯครั้งแรก
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า วันที่ 19 มิ.ย.66 กกต. เตรียม พิจารณารับรอง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พร้อมกับ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง หลังได้ พิจารณาไปแล้วทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง ว่าเขตใดมีคำร้องคัดค้านและไม่มีคำร้อง ซึ่ง ล่าสุดมีเอกสารของ กกต. หลุดออกมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย จำนวน 3 หน้ากระดาษ อ้างว่าเป็นเอกสารประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง ครั้งที่ 1 มีการรับรองว่าที่ ส.ส. 329 คน และอีก 71 คน จาก 8 พรรคการเมืองใน 37 จังหวัด ยังไม่รับรอง หลังถูกร้องคัดค้านผลเลือกตั้ง โดยคาดว่าจะประกาศรับรอง ส.ส.ได้ใน วันที่ 21 มิ.ย. 66 ต่อมา คือการเปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งต้องใช้เวลาไม่เกิน 15 วัน(ปลายเดือนนี้ – ต้น ก.ค.66) หลังจากนั้น คือกระบวนการเลือกประธานสภา และ วาระ สำคัญที่สุด คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกต้องได้ เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน รวม 750 คน หมายความว่าต้องได้คะแนนเสียงสนับสนุน 376 คน ขึ้นไป ซึ่งเสียงของพรรคร่วม รัฐบาลที่มีการลมมติข้อตกลง MOU ร่วมกันมีเพียง 313 เสียงซึ่งขาดอีก 63 เสียงถึง จะมีคะแนนเสียงสนับสนุนเลือกนายกรัฐมนตรีได้ซึ่งต้องเพิ่งพา สว.ทั้ง 250 คน ดังนั้น หากเวลาดำเนินไปจนถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว คะแนนเสียงสนับสนุนไม่ถึง 376 เสียงจาก 750 เสียง ก็จะทำให้จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้และเกิดสุญญากาศทาง การเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นทางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่กดดันให้ SET ย่อตัวลงลึกในช่วง ที่ผ่านมา จนทำให้ P/E เหลือเพียง 18.6 เท่า และถ้าหัก DELTA ออก P/E ตลาดจะ เหลือ 17.5 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 10 ปี ที่ 19.5 เท่า) รวมถึง ณ SET ปัจจุบัน 1557.71 จุด เมื่อหักผลตอบแทนจาก DELTA ปีนี้ออกไปจะเหลือ 1520 จุด
ทั้งประเด็นความคืบหน้าทางการเมือง รวมถึง SET Index ที่ย่อตัวลงมาเยอะ แต่ มูลค่าซื้อขายที่ยังเบาบางอยู่ กลยุทธ์ยังเน้น Selective ทยอยสะสมหุ้นได้ประโยชน์ มาตรการของพรรครวมรัฐบาลใหม่ CPALL (BK:CPALL), CRC, CBG, NEX, COM7, AOT, ERW, CENTEL หุ้นคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน SCC, SCGP, IVL เป็น ต้น
ส่วนวันนี้คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1650 – 1670 จุด Top pick เลือก SCC, SCGP, AOT
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities