ภาพรวมปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานดูผ่อนคลาย โดยเรื่องเพดานหนี้สหรัฐ ได้ข้อ ยุติ ขณะที่มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม สัปดาห์หน้า นอกจากนี้ยังมี Surprise จากที่ ซาอุฯ ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบ เพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาร์เรล ในเดือนก.ค.66 สถานการณ์ในต่างประเทศที่ผ่อน คลายดังกล่าว ถือเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามในประเทศ ยังมีแรงกดดันจากความไม่ชัดเจนของสถานการณ์การเมือง ซึ่งน่าจะทำให้ Fund Flow ยังไม่ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นบ้านเรา แตก็มีโอกาสที่แรงขายจะเบาลง
SET Index มีโอกาสที่จะดีดตัวสูงขึ้น จากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่ผ่อนคลาย แต่เชื่อว่า Upside ยังจำกัดด้วยปัจจัยการเมือง คาดกรอบ SET Index ที่ 1525 – 1545 จุด หุ้น Top Pick เลือก BEM, MAJOR และ PTTEP
หลายปัจจัยบวก หนุนเม็ดไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปดีดตัวขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราว 1.1% -2.1% อีกทั้ง ช่วงวันหยุดยังมีหลายปัจจัยบวกเข้ามาช่วยผ่อนคลายความกังวล ดังนี้
• ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังดูแข็งแกร่ง ทำให้เกิดความคาดหวังว่าเศรษฐกิจ สหรัฐยังไม่เข้าใกล้ภาวะ Recession หรืออาจชะลอตัวแบบ Soft Landing สะท้อนจาก ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) เดือน พ.ค. พุ่งขึ้นกว่า 339,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดเกือบ 2 เท่าที่ระดับ 180,000 ตำแหน่ง โดยการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ
• Fed มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25% ในการประชุมรอบเดือน มิ.ย. นี้โดย ผลการสำรวจของ Fed Watch Tool ให้น้ำหนักสูงถึง 80% เนื่องจากหลาย ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณการชะลอตัวในเดือน พ.ค. อาทิ อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3.7% สูงสุดในรอบ 8 เดือน (สูงกว่าตลาด คาดที่ 3.5%), ค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน +4.3%YoY (ต่ำกว่า ตลาดคาดที่ +4.4%YoY), ISM-PMI ภาคบริการลดลงมาอยู่ที่ 50.3จุด (ต่ำ กว่าตลาดคาดที่ 51.8 จุด) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรอติดตามตัวเลข เงินเฟ้อสหรัฐเดือน พ.ค. อีกครั้ง เพราะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ Fed ใช้ใน การพิจารณาดำเนินนโยบายการเงิน
• สหรัฐฯ หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกสำเร็จ หลังร่างกฎหมายการ ขยายเพดานหนี้สหรัฐผ่านการลงนามจาก ปธน. สหรัฐฯ โจ ไบเดน รวมถึง ได้รับการโหวตด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในสภาคองเกรส (สภาล่าง 314 : 117 เสียง, สภาบน 63 : 36 เสียง) ทั้งนี้กระทรวงการคลังสหรัฐจะสามารถ กู้ยืมเงินได้อย่างอิสระเป็นการชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 1 ม.ค. 2568
ขณะที่ในวันนี้เวลา 10.30 น. บ้านเรามีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ค. โดย Consensus คาดว่าอยู่ที่ +1.6% ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ +2.67% และจะทำให้ Real Interest Rate พลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ +0.4% (ดอกเบี้ย 2.0% - เงินเฟ้อ F 1.6%) ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยหนุนให้เงินบาทชะลอการอ่อนค่าลง ส่วนกลุ่มหุ้นที่คาดว่า ได้รับประโยชน์ในช่วงเงินเฟ้อชะลอตัว
เม็ดเงินมีแนวโน้มไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น หลังมีหลายปัจจัยบวกเข้ามาพร้อมๆ กัน ทั้งคววามกังวลเรื่อง Recession ผ่อนคลายชั่วขณะ หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยัง ดูแข็งแกร่ง รวมถึงการคงดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนนี้ อีกทั้งสหรัฐฯ ยังสามารถ หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกได้สำเร็จ
สำหรับบ้านเราในวันนี้ รอดติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ค. ซึ่งเชื่อ ว่ามีแนวโน้มลดลง ตามราคาน้ำมันที่ชะลอตัว YoY และน่าจะทำให้ Real Interest Rate พลิกกลับมาเป็นบวก ช่วยหนุนให้เงินบาทชะลอการอ่อนค่าลง
OPEC + ขยายเวลา และปรับลดกำลังการผลิตเพิ่ม หนุน Downside ราคาน้ำมันจำกัดมากขึ้น ดีต่อ PTT (BK:PTT) PTTEP
ในที่ประชุมกลุ่มโอเปกพลัสเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มิ.ย.2566 ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงสำนัก ข่าว CNBC มีประเด็น คือ ซาอุดิอาระเบียได้ประกาศการปรับลดกำลังการผลิตโดย สมัครใจลงอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเมื่อเดือนเม.ย.2566 ที่ปรับลดไปแล้ว 5 แสน บาร์เรลต่อวัน รวมการปรับลดการสมัครใจของกลุ่มโอเปกอยู่ที่ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อ วัน ทำให้กำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียจะอยู่ที่ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งการปรับ กำลังการผลิตโดยสมัครใจของซาอุดิอาระเบียในครั้งนี้ได้ระบุกรอบระยะเวลาเบื้องต้น ไว้ที่เป็นระยะเวลา 1 เดือน เริ่มในเดือน ก.ค. 2566 แต่สามารถขยายกำลังการผลิตที่ ปรับลดนี้ได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ที่ประชุมกลุ่มโอเปกพลัสยังได้มีมติที่จะขยายการปรับลดกำลังการผลิต โดยสมัครใจที่เริ่มใช้ในเดือน เม.ย.2566 ที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (แบ่งเป็นรัสเซีย 5 แสนบาร์เรลต่อวัน และสมาชิกอื่นๆในโอเปกพลัส 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ไปจนถึง สิ้นปี 2567 จากเดิมจะสิ้นสุดลง 2566 (ส่วนมติการปรับลดเดิมที่มีอยู่มาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2565 ที่ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2566 ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะใช้ต่อในปี 2567 หรือไม่)
ทั้งนี้มติที่ประชุมกลุ่มโอเปกพลัสล่าสุดดังกล่าว เป็นการพยายามที่จะปรับปริมาณ supply ในตลาดน้ำมันดิบของโลกให้อยู่ในภาวะสมดุลมากที่สุด เพื่อพยุงราคา น้ำมันดิบให้มีเสถียรภาพ ประกอบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัส คิดเป็นประมาณ 40% ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก ดังนั้นคาดนโยบายการ ปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกน่าจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของ ราคาน้ำมัน โดยมุมมองราคาน้ำมันของประเทศสมาชิกหลักที่ออกมาเปิดเผยไว้คือไม่ ควรต่ำกว่า 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการปรับลดกำลังการผลิต อีกระลอกของกลุ่มโอเปกพลัสในครั้งนี้ (สำหรับการประชุมกลุ่มโอเปกครั้งต่อไปจะ เกิดขึ้นในวันที่ 26 พ.ย.2566)
โดยมุมมองของฝ่ายวิจัยคาดทิศทางราคาน้ำมันน่าจะมี downside ที่จำกัดมากขึ้น จากการจำกัด supply แต่การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันจะไปได้สูงและมีเสถียรภาพ มากน้อยเพียงใดจะขึ้นอยู่กับด้านความต้องการใช้ ซึ่งแปรผันหลักตามอัตราการ เติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดจะมีมุมมองที่ดีขึ้นในช่วง 2H66 เมื่อ เทียบกับ 1H66 จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศที่มีมากขึ้น ซึ่งในช่วงสั้นภาพรวมถือเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มปิโตรเลียมหลัก ได้แก่ PTTEP และ PTT ขณะที่ในส่วนของกลุ่มโรงกลั่นนั้นยังต้องดูทิศทางราคาน้ำมัน สำเร็จรูปประกอบด้วย เพราะการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะเป็นต้นทุนของกลุ่มโรงกลั่น แต่จะได้ผลบวกในเชิงการบันทึกสต๊อกน้ำมันเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามราคา หุ้นของกลุ่มปิโตรเลียม รวมถึงปิโตรเคมีในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้ปรับฐานลงมามาก แล้วจนเห็น downside ที่จำกัด คาดหากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวใน 2H66 ตาม สมมติฐาน คาดน่าจะเห็นการฟื้นตัวของราคาหุ้นได้ทั้งกลุ่ม
หลังหยุดยาว…ความหวังตลาดหุ้นไทยฟื้นตามตลาดหุ้นโลก
หลังหยุดยาว คาดหวังตลาดหุ้นไทยมีแน้วโน้มฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านๆ มา ด้วย เหตุผลต่างๆ ดังนี้
1. ตลาดหุ้นไทยตอบรับประเด็นลบ เรื่อง การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองมาในระดับ หนึ่งแล้ว สะท้อนได้จาก ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกอยู่ในโหมด Risk On โดยเฉพาะตลาดหุ้น Nasdaq ปรับตัวขึ้นมา 6 สัปดาห์ติดต่อกันกว่า 10% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยตามหลังอยู่ไกลมาก โดยให้ผลตอบแทนในช่วงเวลาเดียวกัน -1.7%
2. Fund Flow มีการชะลอการไหลออกบ้าง โดยวันศุกที่ผ่านมา ต่างชาติสลับมา ซื้อสุทธิหุ้นไทย 6 ร้อยล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 18 วันทำการ) และ ยังซื้อสุทธิสัญญา Futures กว่า 29,681 สัญญา ซึ่งนักลงทุนยังให้น้ำหนักเอน เอียงมาที่หุ้นอิงกับราคา Commodity มากขึ้น สังเกตได้จากผลตอบแทน (mtd) ราย Sector
3. ราคาน้ำมันดิบฟื้นแรง หนุนหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นอิงราคา Commodity กว่า 1 ใน 3 ของตลาด อีกทั้งหุ้นดังกล่าวยัง Laggard กว่าการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ในปีนี้มาก โดยผลตอบแทนราคาน้ำมันในปีนี้ฟื้นขึ้นเหลือ -10.6%ytd แต่หุ้น พลังงานไทยลบเยอะกว่ามาก พร้อมกับ Upside ที่เปิดกว้างขึ้น
ทั้ง 3 ปัจจัยน่าจะช่วยหนุนให้ SET Index มีโอกาสขยับตัวขึ้นได้ดีกว่าช่วงที่ผ่านๆ มา ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1525 – 1545 จุด กลยุทธ์แนะนำหุ้นราคา Laggard พื้นฐานมาก และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุน โดย Top pick เลือก PTTEP (ราคาน้ำมัน ฟื้นเด่น), BEM (เริ่มเปิดรถไฟสายสีเหลือง ปลายปีเปิดทั้งเส้นและสายสีชมพู), MAJOR (หลังฟอร์มยักษ์เข้ามาเยอะ พรุ่งนี้มีหนัง Transformer เข้ามาหนุน)
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities