การที่ SET Index สามารถประคองตัวเป็นบวกได้ต่อเนื่องหลังปรับตัวขึ้นแรงเมื่อ วันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก โดยจากนี้ไป เราคาดหวังว่าจะเห็นการ ไหลเข้ามาของ Fund Flow ช่วยขับเคลื่อนตลาดได้ต่อ ทั้งนี้กลไกที่ทำให้เม็ดเงิน ไหลเข้ามาเป็นเพราะทิศทางของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หลัง Fed คงอัตราดอกเบี้ย ภายใต้ภาวะความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐมีอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา เพดานหนี้ สถาบันการเงิน และความเสี่ยง Recession เป็นแรงกระตุ้นทำให้เกิด การเคลื่อนย้ายเม็ดเงิน ซึ่งจนถึงปัจจุบันเราเห็นการไหลของเม็ดเงินเข้ามาสู่ตรา สารหนี้ระยะสั้นบ้านเราอย่างชัดเจน โดยเราเชื่อว่าเม็ดเงินส่วนนี้น่าจะไหลเข้าสู่ ตลาดหุ้นได้ต่อ จากการที่ Market Earning Yield Gap ของบ้านเราที่สูงถึง 4.1% ภายใต้แนวคิดดังกล่าวทำให้เชื่อว่า SET Index ยังอยู่ในทิศทางที่ดี
ประเมินว่า SET Index ยังมีแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยบวกต่างๆ ที่กล่าวถึงในช่วง ก่อนหน้านี้ และมีแนวโน้มที่Fund Flow จะไหลเข้าได้ต่อ วันนี้คาดว่า SET Index น่าจะอยู่ในกรอบ 1555-1580 จุด Top Pick เลือก BEM, SPALI และ TASCO
หาหุ้นเด่นยามเงินเฟ้อชะลอตัว
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐเดือน เม.ย. อยู่ที่ 4.9%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดและลดลงจากเดือน ก่อนที่ 5.0%YoY ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับ ต่ำสุดในรอบ 23 เดือน หลักๆ มาจากราคาน้ำมันที่ชะลอตัวลง ส่วน Core CPI เดือน เม.ย. อยู่ที่ 5.5%YoY ตามตลาดคาดและลดลงจากเดือนก่อนที่ 5.6% YoY ทำให้ Real Interest Rate ของสหรัฐในปัจจุบัน (ดอกเบี้ย 5.25% - เงินเฟ้อ 4.9%) อยู่ที่ +0.35% ส่งผลให้วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐส่วนใหญ่ตอบรับในเชิงบวก เฉพาะอย่างยิ่งในหุ้นกลุ่ม เทคโนโลยีที่ดัชนีหุ้น NASDAQ ดีดตัวขึ้นแรงราว 1.0%
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่มีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่อง น่าจะเป็นหนึ่งปัจจัยหนุนให้ Fed เลือกที่จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25% ในการประชุมรอบเดือน มิ.ย. ซึ่งสอดคล้องกับ การสำรวจของ Fed Watch Tool เผยว่ามีโอกาสสูงถึง 94% ที่ Fed จะยุติการขึ้น ดอกเบี้ยไปจนถึงช่วง 3Q66
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจีน เดือน เม.ย. เช้านี้รายงานออกมา อยู่ที่ 0.1%YoY ต่ำกว่าตลาด คาดที่ 0.4% และลดลงจากเดือนก่อนที่ 0.7% YoY ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับต่ำสุดใน รอบ 25 เดือน สะท้อนเศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ จึงมีโอกาสที่รัฐบาลจีนจะออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก
อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงในหลายประเทศทั้งสหรัฐ จีน รวมถึงบ้านเรา ทำให้ฝ่ายวิจัย ฯ ได้คัดกรองหุ้นที่ได้ประโยชน์ในยามที่เงินเฟ้อชะลอตัวและแบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
หุ้นเด่นรับเงินเฟ้อชะลอตัว
• หุ้นการเงิน SAWAD JMT
• หุ้นอุปโภคบริโภค CBG CRC CPN CPALL (BK:CPALL) BGRIM GPSC ADVANC
• หุ้นปันผลสูง SPALI AP TU
สรุป อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศทั้งสหรัฐ จีน รวมถึงบ้านเรา ทยอยปรับตัวลง เป็น สัญญาณเชิงบวกต่อการยุติการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ประเทศต่างๆ สำหรับหุ้น เด่นในยามเงินเฟ้อชะลอตัวที่ค่อนข้าง Laggard อาทิJMT, CBG, GPSC, SPALI, TU เป็นต้น
ความกังวล RECESSION สหรัฐฯยังมีอยู่ หนุนเม็ดเงินไหลไปตลาดหุ้น ไทยที่ VALUATION โดดเด่น
การดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางต่างๆ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อจัดการ กับปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายประเทศในปัจจุบันยืนอยู่ในระดับสูง เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐ 5.25%, อังกฤษ 4.25%, ยุโรป 3.75% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกได้ ซึ่งล่าสุด Bloomberg คาดว่า GDP Growth สหรัฐฯ ในไตรมาส 2-4 อยู่ที่ +0.1%QoQ, -0.9%QoQ, -0.3%QoQ ซึ่งหากเป็น ตามคาดจริง จะทำให้สหรัฐฯเกิด Technical Recession ใน 4Q23
ประเด็นดังกล่าว คาดทำให้ Dollar Index อ่อนค่า และเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตราสารที่ให้ ผลตอบแทนมากกว่า หรือเสี่ยงน้อยกว่า ทั้งในมุมของตราสารหนี้ระยะสั้น และตลาดหุ้น ประเทศอื่นๆ โดยหากพิจารณาในมุม Valuation ของตลาดหุ้นแต่ละประเทศ ประเทศ ไทยดูโดดเด่นกว่าประเทศอื่น ทั้งในมิติอัตราดอกเบี้ยไทยยังอยู่ระดับต่ำเพียง 1.75% (สหรัฐ, ยุโรป 4 – 5%) หนุนให้ตามกลไกตลาดหุ้มมีโอกาสถูกซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นได้ และหากมองในมิติของ Market Earning Yield Gap แล้ว พบว่า ยังกว้างถึง 4.1% ซึ่งเมื่อ เทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่มี Market Earning Yield Gap 0% ขณะที่กลุ่ม TIP มี Market Earning Yield Gap กว้างไม่ถึง 2% แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มการเติบโต ที่ดีในเชิงเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
สรุป ความกังวล Technical Recession ในสหรัฐฯ หนุนให้เม็ดเงินแสวงหาตราสาร ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งตลาดหุ้นไทย คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีใน เชิงเปรียบเทียบ ดังนั้น คาดเห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยระยะถัดไป โดย วันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1555-1585 จุด
4 สัญญาณ ชี้ว่า “สิ่งดีๆ กำลังเข้ามาในตลาดหุ้นไทย”
ในเดือน พ.ค. 66 (mtd) สถาบันในประเทศกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยปริมาณมากถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่แรงขายของต่างชาติชะลอลงกว่าเดือนก่อนๆ บวกกับเห็นเม็ดเงิน ต่างชาติทะลักเข้ามาสะสมในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุน้อยกว่า 1 ปี)สูงถึง 4.7 หมื่น ล้านบาท เชื่อว่าหลังเลือกตั้งเม็ดเงินดังกล่าวมีโอกาสย้ายเข้ามาหนุนในตลาดหุ้นไทย รวมถึงนักลงทุนมีโอกาสเพิ่มน้ำหนักพอร์ตหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน ด้วย 4 เหตุผลดังนี้
1. กำไร 1Q66 มีโอกาสฟื้นเด่น QoQ ปกติเวลากำไรผ่านจุดต่ำสุด หรือ Bottom Out หุ้นมักจะขึ้นในระยะถัดไปเสมอ และข้อมูลปัจจุบันยังชี้ให้เห็น ว่า หลังบริษัทประกาศงบ 1Q66 ส่วนใหญ่หุ้นจะขยับขึ้น ยกเว้นหุ้นที่กำไร 1Q66 ผิดคาดสุดๆ
2. เข้าสู่ช่วง Election Rally ซึ่งปกติ Fund Flow มักจะไหลเข้า เฉลี่ยราว 6 พันล้านบาท ในช่วง 1 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง และ 9 พันล้านบาท ในช่วง 1 เดือน หลังเลือกตั้ง พร้อมกับหนุนให้ SET มีโอกาสขยับขึ้นได้ราว 3%
3. MEYG ของ SET ปัจจุบันกว้างถึง 4.1% จูงใจให้ต่างชาติมีโอกาสย้ายเม็ด เงินจากตราสารหนี้ระยะสั้นมาตลาดหุ้นไทยมากขึ้น (รายละเอียดตามหัวข้อ ก่อนหน้า)
4. ปกติเวลาต่างชาติซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น ในช่วงถัดไปมีโอกาสซื้อหุ้นไทย มากขึ้นเช่นกัน โดยยอดซื้อสุทธิของต่างชาติในตราสารหนี้ระยะสั้นกับหุ้นไทย ช่วง 1 ม.ค. 2565 – 10 พ.ค. 2566 มีค่าสหสัมพันธ์ หรือค่า Correlation สูงถึง 0.73
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แนะนำ หุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่สภาพคล่องสูง KBANK (BK:KBANK) AOT (BK:AOT) SCGP ADVANC CPALL SAWAD BEM SPALI TASCO
ส่วน Top pick วันนี้เลือก BEM SPALI TASCO
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities