ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดการเงินก็อาจผันผวนไปตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ ในประเด็นขยายเพดานหนี้
**ราคาทองคำ = สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.
FX Highlight
เงินดอลลาร์มีแนวโน้มเคลื่อนไหว sideways หลังจากอ่อนค่าลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะ อัตราเงินเฟ้อ CPI
แม้ว่า เฟดจะส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงชัดเจน ทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงได้นานกว่าการประชุมเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็อาจอ่อนค่าลงได้ จากประเด็นความกังวลปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ (US Debt Ceiling) ซึ่งจากการศึกษาของเราพบว่า เงินดอลลาร์มักจะอ่อนค่าลง -1.4% ในช่วง 1 เดือน ก่อนสภาคองเกรสจะขยายเพดานหนี้ได้สำเร็จ
นอกจากนี้ หากสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้ง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์ (GBP) แข็งค่าขึ้น จากการส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้เช่นกัน
อนึ่ง บรรยากาศในตลาดการเงิน (Risk Appetite/Sentiment) ก็อาจส่งผลต่อทิศทางเงินดอลลาร์ได้ โดยหากตลาดผิดหวังกับรายงานผลประกอบการ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง
เนื่องจากเป็นช่วงใกล้การเลือกตั้งใหญ่ เราประเมินว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจมีไม่มากหรือไม่มีทิศทางที่ชัดเจน แต่อย่างน้อย แรงขายสินทรัพย์ไทยอาจเบาบางลง หลัง SET เริ่มส่งสัญญาณกลับตัว/รีบาวด์ขึ้น
ทั้งนี้ เงินบาทยังมีโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ เป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเราคาดว่า ยอดจ่ายปันผลอาจสูงราว 180-200 ล้านดอลลาร์
ในเชิงเทคนิคัล ทั้งสัญญาณจาก RSI และ MACD กลับมาชี้ว่า เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัว sideways down หรือทยอยแข็งค่าขึ้น โดยมีเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน แถว 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์ เป็นโซนแนวต้านแรก หากเงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ส่วนโซนแนวรับจะอยู่แถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์
Gold Highlight
ราคาทองคำอาจเริ่มแกว่งตัว sideways down จากแรงขายทำกำไร อย่างไรก็ดี ต้องรอจับตา 1) รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ 2) การเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ 3) ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ 4) บรรยากาศในตลาดการเงิน
เรามองว่า ตลาดอาจเริ่มให้น้ำหนักประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งจากสถิติในอดีตสะท้อนว่า ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นราว +1.6% ในช่วง 1 เดือนก่อนสภาคองเกรสขยายเพดานหนี้
ทั้งนี้ โซนแนวต้านของราคาทองคำอาจอยู่ในช่วง 2,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นส่วนใหญ่ได้ทยอยเข้าซื้อสะสมทองคำ ในจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลง โดยเฉพาะในช่วงโซน 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นอกจากนี้ ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI และ MACD ชี้ว่า ราคาทองคำอาจมีโอกาสแกว่งตัวลดลง sideways down อีกทั้งกราฟรายวันยังเกิด Evening Star Pattern ยิ่งเพิ่มโอกาสราคาทองคำย่อตัวลงมากขึ้น
เราคงเป้าราคาทองคำไว้ที่ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้เรายังคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะราคาทองคำปรับฐานในการทยอยเข้าซื้อได้ โดยผู้เล่นอาจทยอยแบ่งไม้เข้าซื้อในโซนแนวรับ 1,980-1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาหลุดแนวรับถัดไปแถว 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ผู้เล่นในตลาดอาจชะลอการ เพื่อประเมินภาพตลาดอีกครั้ง