ในคืนนี้จะเป็นคืนโลกแตกอีกหนึ่งคืนนะครับ จะมีการประชุมนโยบายทางการเงินและการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจะมีการประกาศผลการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยออกมาในเวลา 01:00 นะครับ ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะสร้างความผันผวนให้กับทั้งตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดทองคำ ตลาดน้ำมัน ตลาดพันธบัตร สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และ ตลาดคริปโตเป็นอย่างมาก
แต่ความผันผวนยังไม่จบแค่นั้นนะครับ เพราะเราต้องไปฟังการแถลงการณ์ของคุณลุงเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ และการตอบคำถามต่อสื่อมวลชน ในช่วงเวลา 01:30-02:30 กันต่อด้วยนะครับ เพราะตลาดจะผันผวนเป็นอย่างมากอีกรอบหนึ่ง และตลาดจะเคลื่อนไหวตามคำพูดของลุงพาวเวลล์ล้วนๆเลยครับ!!!
เราไปดูกันก่อนครับว่าตอนนี้ตลาดรับข่าวนี้อย่างไร และมีการคาดการณ์ว่าอย่างไร
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะมีการประกาศการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยในเวลา 01:00 คืนนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3
ทั้งนี้ หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์กันในวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในสัปดาห์นี้
ความวิตกกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกจากผลพวงของข้อมูลเงินเฟ้อที่ร้อนแรงกว่าคาดการณ์ของสหรัฐ
การซื้อขายในตลาดถูกกดดันจากการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75-1.00% ในการประชุมนโยบายการเงินในคืนนี้
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 4.0% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2550 และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี
ณ เวลา 22.38 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 4.006% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2550 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 3.563% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 3.564%
การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวสูงกว่าระยะยาว ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศระดมกำลังพลเพื่อยกระดับการทำสงครามกับยูเครน
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ณ เวลา 20.17 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์บวก 0.42% สู่ระดับ 110.68 หลังพุ่งแตะระดับ 110.87 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2545
ดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้น 16% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 และมีแนวโน้มทำสถิติทะยานขึ้นในปีนี้ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2524
นอกจากนี้ ดอลลาร์ดีดตัว 0.17% สู่ระดับ 143.96 เยนในวันนี้ ส่วนยูโรปรับตัวลง 0.44% สู่ระดับ 142.65 เยน และอ่อนค่า 0.60% สู่ระดับ 0.991 ดอลลาร์
การประกาศของปธน.ปูตินในวันนี้ ถือเป็นการเรียกระดมพลทหารรัสเซียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนี้ ปธน.ปูตินเตือนว่า หากชาติตะวันตกยังคงใช้อาวุธนิวเคลียร์มาแบล็คเมล์รัสเซีย รัสเซียก็จะทำการตอบโต้ด้วยสรรพกำลังที่มีอยู่ในคลังอาวุธของประเทศ
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 84% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 16% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการควบคุมเงินเฟ้อ และการยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้
นายพาวเวลล์กล่าวว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฟดจะยังคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐ
"เราจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าภารกิจของเราจะประสบความสำเร็จ โดยภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอาจได้รับผลกระทบจากการที่เฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ความล้มเหลวในการรักษาเสถียรภาพของราคาจะทำให้เกิดผลกระทบมากกว่า" นายพาวเวลล์กล่าว
นอกจากนี้ นายพาวเวลล์กล่าวว่า หลังจากเสร็จสิ้นการใช้มาตรการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
สถาบันวิจัย CFRA ระบุว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.75% ในการประชุมสัปดาห์นี้ ก็จะเป็นการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเกินไป และจะฉุดให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลง
"เราคิดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% จะสร้างความตื่นตระหนกต่อตลาด และเป็นการบ่งชี้ว่าเฟดมีปฏิกิริยามากเกินไปต่อข้อมูลเศรษฐกิจ และลดโอกาสที่จะช่วยให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป" นายแซม สโตวอลล์ นักวิเคราะห์จาก CFRA ระบุในรายงาน
ทั้งนี้ ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวน 56 ครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% เพียง 7 ครั้ง และหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 2.4% ภายในเวลา 1 เดือน, ร่วงลง 1.3% ในเวลา 3 เดือน และฟื้นตัวขึ้น 0.1% ในเวลา 6 เดือน
นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ และปรับขึ้นอีก 0.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. ก่อนที่จะผ่อนคันเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 84% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 64.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. ขณะที่ให้น้ำหนัก 46.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.
หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวตามคาด จะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันถึง 4 ครั้งในการประชุมเดือนมิ.ย.,ก.ค.,ก.ย.และพ.ย. ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะพุ่งแตะระดับ 4.50% ในช่วงสิ้นปีนี้ และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสูงกว่าระดับ 2.50% ซึ่งเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยที่เฟดมองว่าเป็นกลาง โดยไม่ผ่อนคลายหรือเข้มงวดจนเกินไป
ผลการสำรวจของสำนักข่าว CNBC ระบุว่า นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนแตะระดับสูงสุด และจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวต่อไประยะหนึ่ง โดยเฟดจะใช้มาตรการดอกเบี้ยแบบ "ขึ้นแล้วคง" (hike and hold) แทนที่จะใช้มาตรการ "ขึ้นแล้วลง" (hike and cut) ตามที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ผลการสำรวจระบุว่า นักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันนี้ และเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนแตะระดับ 4.26% ในเดือนมี.ค.2566 โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นเวลาเกือบ 11 เดือน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของบรรดานักวิเคราะห์ที่คาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 เดือนไปจนถึง 2 ปี
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า มีแนวโน้ม 52% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า อันเนื่องจากการที่เฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากเกินไป
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์มองว่าเฟดต้องใช้เวลาอีกหลายปี ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 2% โดยคาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เมื่อเทียบรายปี จะอยู่ที่ระดับ 6.8% ในช่วงสิ้นปี 2565 และอยู่ที่ 3.6% ช่วงสิ้นปี 2566 ก่อนที่จะปรับตัวลงสู่เป้าหมาย 2% ของเฟดในปี 2567
และเราจะไปวิเคราะห์กันต่อครับว่า การประชุมเฟดในคืนนี้จะส่งผลต่อตลาดอย่างไร
แต่บอกไว้ก่อนนะครับ คนส่วนมากมักเข้าใจผิด คิดว่ารอลุ้นแค่ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเท่าไหร่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นในตอน 01:00 ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงเลยครับ เราต้องไปรอฟังการแถลงของลุงพาวเวลล์ในช่วง 01:30-02:30 ด้วยนะครับ เพราะยังมีอีก 3 อย่างที่ต้องจับตา และสามารถเปลี่ยนทิศทางตลาดได้ในช่วงเวลานั้นได้เลย
และสิ่งที่เราต้องจับตาจะมีทั้งหมด 4 อย่างครับ
1. เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% 0.75% หรือ 1.00%
2. ถ้อยแถลงของคุณลุงเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด หลังเสร็จสิ้นการประชุม ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต ว่าจะมีการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ หรือจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการกับภาวะเงินเฟ้ออย่างเร่งด่วน ซึ่งจะมีโอกาสที่จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
3. การเปิดเผย Dot Plot ของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราเงินเฟ้อ อัตราว่างงาน และการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
4. การส่งสัญญาณใดๆเพิ่มเติมกับการลดงบดุล หรือ Balance Sheet ของเฟด หรือที่เรียกว่าการทำ Quantitative Tightenning หรือ การทำ QT นั่นเอง ซึ่งก็คือการดึงสภาพคล่องออกจากตลาด เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางนโยบายทางการเงินของเฟดนอกเหนือไปจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่จะสามารถทำให้เงินเฟ้อลดลงได้ ซึ่งการส่งสัญญาณเพิ่มเติมใดๆเกี่ยวกับการทำ QT จะเป็นสิ่งที่ทำให้ตลาดผันผวนมากที่สุดไม่แพ้เรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตอน 01:00 เลยครับ
ซึ่งเราจะไปลุ้นกัน 2 ช่วงเวลาครับ
เวลา 01:00 เฟดจะประกาศการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
กรณีที่ 1 ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งกรณีมีโอกาสเป็นไปได้ 0%
แบบนี้ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC จะพุ่งขึ้นอย่างมากทันที
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ USD จะร่วงลงอย่างหนัก เช่นเดียวกับ Bond Yield อายุ 2 ปีและ 10 ปี
คู่สกุลเงิน EURUSD GBPUSD AUDUSD NZDUSD จะพุ่งขึ้นอย่างมาก
คู่สกุลเงิน USDJPY USDCAD USDCHF จะร่วงลงอย่างหนัก
กรณีที่ 2 ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งกรณีมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดถึง 84%
แบบนี้ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC จะพุ่งขึ้นไปก่อน แล้วรอลุงพาวเวลล์มาแถลงตอน 01:30-02:30
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ USD จะร่วงลงไปก่อน เช่นเดียวกับ Bond Yield อายุ 2 ปีและ 10 ปี
คู่สกุลเงิน EURUSD GBPUSD AUDUSD NZDUSD จะพุ่งขึ้นไปก่อน
คู่สกุลเงิน USDJPY USDCAD USDCHF จะร่วงลงไปก่อน รอลุงพาวเวลล์มาแถลงเช่นกัน
กรณีที่ 3 ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 1.00% ซึ่งกรณีมีโอกาสเป็นไปได้เพียงแค่ 16% เท่านั้น แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกันเนื่องจากการประกาศอัตราเงินเฟ้อล่าสุด 8.3% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 8.5% แต่มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 8.1% เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อปรับตัวลงช้ากว่าที่คาด และยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง เฟดอาจจะใช้ยาแรง เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังทรงตัวดี อาทิ ตัวเลขการจ้างงาน ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตัวเลขดัชนีภาคการผลิต และตัวเลขดัชนีภาคการบริการ เป็นต้น
แบบนี้ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC จะร่วงลงอย่างแรง แล้วรอลุงพาวเวลล์มาแถลงตอน 01:30-02:30
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ USD จะพุ่งขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกับ Bond Yield อายุ 2 ปีและ 10 ปี
คู่สกุลเงิน EURUSD GBPUSD AUDUSD NZDUSD จะร่วงลงอย่างแรง
คู่สกุลเงิน USDJPY USDCAD USDCHF พุ่งขึ้นอย่างมาก แล้วรอลุงพาวเวลล์มาแถลงเช่นกัน
และในเวลา 01:00 จะมีเอกสารผลการประชุมออกมาด้วยนะครับ เราต้องไปจับตาดูการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐในปีหน้า หรือที่เรียกกันว่า Dot Plot นั่นเอง
กรณีที่ 1 ถ้า Dot Plot ออกมาอยู่ที่ 4.50% ก็จะทำให้ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC พุ่งขึ้นไปอีกเช่นกันแต่ไม่มาก
กรณีที่ 2 ถ้า Dot Plot ออกมามากกว่า 4.50% ก็จะทำให้ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC จะพุ่งขึ้นไปก่อน แล้วมีการย่อตัวลงมาทันที
กรณีที่ 3 ถ้า Dot Plot ออกมาน้อยกว่า 4.50% แบบนี้จะทำให้ทั้งตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เวลา 01:30-02:30 จับตาถ้อยแถลงของคุณลุงพาวเวลล์ และการตอบคำถามต่อสื่อมวลชนให้ดีๆเลยนะครับ ซึ่งเราไม่รู้ว่านักข่าวจะถามว่าอะไร ลุงพาวเวลล์จะเจอคำถามแบบไหนบ้าง และลุงพาวเวลล์จะตอบคำถามว่าอะไร
ถ้าลุงพาวเวลล์มีการยืนยันว่าจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าเงินเฟ้อจะลดลง ถึงแม้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจและการจ้างงานมีการชะลอตัวลงก็ตาม แบบนี้เท่ากับว่าลุงยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย!!!
แบบนี้จะทำให้ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC มีการร่วงลงได้เช่นกัน
ส่วนดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY และ Bond Yield จะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
และถ้าลุงมีการส่งสัญญาณถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าอีก 0.75% แบบนี้ก็จะทำให้ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC มีการร่วงลงได้เช่นกัน ส่วนดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY และ Bond Yield จะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันครับ
แต่ถ้าลุงมีการส่งสัญญาณถึงการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า นั่นคือมีการส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.50% ในการประชุมครั้งหน้า
แบบนี้จะทำให้ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC พุ่งขึ้นทันทีครับ
ส่วนดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY และ Bond Yield จะร่วงลงทันที
และประเด็นสุดท้าย คือ ต้องจับตาดูว่าลุงพาวเวลล์จะมีการส่งสัญญาณใดๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ QT หรือไม่
ถ้ามีการส่งสัญญาณว่าจะมีการทำ QT เพิ่มขึ้นในปริมาณที่มากกว่า 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
แบบนี้จะทำให้ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC จะมีการร่วงลงได้เช่นกัน
ส่วนดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY และ Bond Yield จะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
ถ้ามีการส่งสัญญาณว่าจะมีการทำ QT ในปริมาณ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนเท่าเดิม แต่จะทำ QT ไปเรื่อยๆจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง
แบบนี้จะทำให้ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC จะมีการปรับตัวลงได้เช่นกัน
ส่วนดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY และ Bond Yield จะมีการปรับตัวขึ้นครับ
ถ้ามีการส่งสัญญาณว่าจะมีการทำ QT ในปริมาณที่น้อยกว่า 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน หรือมีการส่งสัญญาณว่าจะชะลอการทำ QT ในเร็วๆนี้
แบบนี้จะทำให้ตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และ BTC จะมีการปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน
ส่วนดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY และ Bond Yield จะมีการปรับตัวลงครับ
เป็น 4 อย่างที่เราจะต้องจับตากันในคืนนี้ครับ
อย่าลืมติดตามข่าวสำคัญในคืนนี้ซึ่งเป็นคืนโลกแตกกันด้วยนะครับ!!!