ในช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นเอเชีย 3 ตัวจาก 5 ตัวที่เป็นตลาดหุ้นหลักของเอเชียได้ปิดทำการนะครับ ทั้งตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เหลือเพียงแค่ 2 ตลาดเท่านั้นที่เปิดทำการ นั่นคือ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นออสเตรเลีย
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดบวกเมื่อเช้าวานนี้ โดยได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์
ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิเปิดที่ระดับ 28,483.59 จุด เพิ่มขึ้น 268.84 จุด หรือ +0.95%
หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าวานนี้นำโดยหุ้นกลุ่มขนส่งทางอากาศ, กลุ่มขนส่งทางบก และกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับงานชั่งตวงวัด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนได้พากันเข้าซื้อหุ้น โดยมองข้ามความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ นอกจากนี้ นักลงทุนได้ปรับตัวรับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมเดือนนี้
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกเมื่อเช้าวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์ ขณะเดียวกันก็จับตาข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ 28,483.59 จุด เพิ่มขึ้น 268.84 จุด หรือ +0.95%
ตลาดหุ้นฮ่องกงและตลาดหุ้นจีนปิดทำการเมื่อวานนี้ เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการเช่นเดียวกัน เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐในวันอังคารที่ 13 ก.ย.นี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายในการบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI อาจเพิ่มขึ้นแตะ 8.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงเมื่อเทียบกับระดับ 8.5% ในเดือนก.ค.
การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟิวเจอร์สในช่วงเช้าวานนี้ และจากการฟื้นตัวขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สกุลเงินเยน JPY มีการอ่อนค่าลง
ส่งผลให้คู่สกุลเงิน USDJPY EURJPY GBPJPY CADJPY AUDJPY NZDJPY CHFJPY มีการปรับตัวขึ้นทั้งหมดในช่วงเช้าวานนี้
และจากการฟื้นตัวขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้าวานนี้ ได้ทำให้คู่สกุลเงิน EURUSD GBPUSD มีการย่อตัวลง
ในขณะที่สกุลเงินปอนด์ได้มีการอ่อนค่าลงจากการสิ้นพระชนม์ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 และจากนโยบายลดภาษีของลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษคนใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของอังกฤษ
ทำให้คู่สกุลเงิน GBPUSD GBPCHF GBPAUD GBPNZD GBPCAD มีการปรับตัวลงทั้งหมด ยกเว้นคู่สกุลเงิน GBPJPY ที่มีการปรับตัวขึ้นได้เนื่องจากการอ่อนค่าลงของสกุลเงินเยน JPY จากการที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟิวเจอร์สได้พุ่งขึ้นนั่นเอง
การฟื้นตัวขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ และการทรงตัวอยู่ในระดับสูงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทั้งอายุ 2 ปีและ 10 ปียังคงทรงตัวอยู่ได้ในระดับสูงในช่วงเช้าวานนี้ ทำให้ราคาทองคำและราคาน้ำมันมีการย่อตัวลง
และจากการที่ตลาดหุ้นจีนและตลาดการเงินของจีนได้ปิดทำการในเมื่อวานนี้ ทำให้ไม่มีแรงหนุนราคาทองคำและราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้นได้ ก่อนที่ราคาทองคำและราคาน้ำมันจะร่วงลงในเวลาต่อมาจากการร่วงลงของตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์ส
จากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์ส รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปฟิวเจอร์ส ตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟิวเจอร์ส และตลาดหุ้นออสเตรเลียฟิวเจอร์สในช่วงเช้าวานนี้ ทำให้ BTC ETH มีการปรับตัวขึ้นในช่วงเปิดตลาดเอเชียเมื่อวานนี้
แต่การย่อตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์สในเวลาต่อมา การย่อตัวลงของตลาดหุ้นออสเตรเลียฟิวเจอร์สตามตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สที่ได้ร่วงลง การฟื้นตัวขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ และการทรงตัวอยู่ในระดับสูงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทั้งอายุ 2 ปีและ 10 ปียังคงทรงตัวอยู่ได้ในระดับสูง ได้ทำให้ทั้ง BTC และ ETH ได้มีการย่อลงตัวเช่นกัน
และ sideway ไปตลอดช่วงเช้าวานนี้
แต่ถึงตลาดหุ้นจีนจะปิดทำการ แต่ตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สยังเปิดทำการตามปกตินะครับ และตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สได้ร่วงลงอย่างหนักในช่วงเช้าวานนี้ที่ผ่านมาจากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการล็อกดาวน์ในจีนและการที่จีนได้ยกระดับการใช้มาตรการฉุกเฉินในการรับมือกับพายุไต้ฝุ่นลูกใหม่ในเมื่อวานนี้
จีนยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะที่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 16 ต.ค.นี้ โดยทางการจีนได้ออกมาตรการจำกัดการเดินทางภายในประเทศเพิ่มเติม แม้หลายพื้นที่ของประเทศยังคงตกอยู่ภายใต้คำสั่งล็อกดาวน์อันเข้มงวด
ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) ว่า จะมีการบังคับใช้มาตรการสกัดโควิด-19 ถึงสิ้นเดือนต.ค. เพื่อต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ที่ขณะนี้แทบไม่มีสัญญาณคลี่คลายลง โดยทางการแจ้งให้ประชาชนเดินทางเท่าที่จำเป็นในช่วงวันหยุดเทศกาลไหว้พระจันทร์สัปดาห์หน้าและวันชาติในเดือนต.ค. ซึ่งปกติแล้วเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทั้งยังกำชับให้รัฐบาลท้องถิ่นตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนทุกคนเป็นประจำโดยไม่คำนึงถึงระดับของการติดเชื้อ
การบังคับใช้คำสั่งล็อกดาวน์และมาตรการจำกัดโควิด-19 ด้านอื่น ๆ ทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงในนครเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 6 ของจีน โดยมีประชากร 21 ล้านคน และบางพื้นที่ของนครกุ้ยหยาง ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดขนาดใหญ่ที่สุดของจีน โดยมีประชาชนถึง 400,000 คนอาศัยอยู่ในอาคาร 300 แห่ง ขณะที่กรุงปักกิ่งยกระดับการคุมเข้มการเดินทางสำหรับทุกคนที่เดินทางเข้าออกมหานครหลวงแห่งนี้
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นโยบายเหล่านี้ดูเหมือนกำหนดมาเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก่อนถึงการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปี โดยปีนี้ความพิเศษอยู่ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงมีแนวโน้มจะกุมอำนาจผู้นำประเทศต่อเป็นสมัยที่ 3 โดยถือเป็นการท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าประธานาธิบดีแต่ละคนสามารถรั้งตำแหน่งผู้นำแดนมังกรได้เพียง 2 สมัย รวมทั้งสิ้น 10 ปี ก่อนจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่การยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2561
มาตรการสกัดโควิด-19 ดังกล่าวตอกย้ำเป้าหมายของรัฐบาลจีนในการขจัดโรคระบาดให้หมดไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมพุ่งทะยานขึ้น โดยนักเศรษฐศาตร์หลายรายแสดงมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีนมาสักระยะหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภายหลัง โดยบริษัทโนมูระ โฮลดิงส์ คาดการณ์ว่า จีนจะยึดมั่นต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ถึงปี 2566 เป็นอย่างน้อย
จีนตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1,292 รายในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) โดยตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 1,000 รายมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แม้จะถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ความยากลำบากในการควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างสมบูรณ์ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความยากที่การบังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์จะสัมฤทธิ์ผล ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์หลายชนิด
จีนประกาศยกระดับการใช้มาตรการฉุกเฉินสู่ระดับ 4 เพื่อรับมือพายุไต้ฝุ่น "หมุ่ยฟ้า (Muifa)" ซึ่งเป็นพายุไต้ฝุ่นลูกที่ 12 ของปีนี้ โดยพายุดังกล่าวกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของจีน
กระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินของจีน (MEM) คาดว่า พายุไต้ฝุ่นหมุ่ยฟ้ากล่าวจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ทะเลตะวันออกของจีนในเมื่อวานนี้ (12 ก.ย.) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุฝนฟ้าคะนองปกคลุมในหลายพื้นที่รวมถึง เจ้อเจียง เซี่ยงไฮ้ เจียงซู และซานตง
MEM ระบุว่า สำนักงานป้องกันอุทกภัยและบรรเทาสาธารณภัยของจีนได้กระจายกำลังออกเป็น 2 ทีมไปยังฝั่งตะวันออกของมณฑลเจียงซู และมณฑลเจ้อเจียง เพื่อช่วยเหลือและแนะนำแนวทางรับมือกับพายุไต้ฝุ่นหมุ่ยฟ้า
สำนักงานใหญ่ฯ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ควรยกระดับการเฝ้าระวังและป้องกันภัยพิบัติที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นให้มากขึ้น พร้อมทั้งแนะนำว่า เรือต่าง ๆ ที่จอดเทียบท่าเพื่อหลบภัยจากพายุและคนงานนอกชายฝั่งนั้น ควรกลับเข้าฝั่ง
ตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สร่วง ทำให้ราคาทองคำ น้ำมันร่วงลง
และทำให้สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย AUD และสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์มีการอ่อนค่าลงด้วย
คู่สกุลเงิน AUDUSD NZDUSD AUDCHF NZDCHF ร่วงลง
คู่สกุลเงิน AUDJPY NZDJPY มีการย่อตัวลง แต่ยังลงไม่มากจากการอ่อนค่าของสกุลเงินเยน JPY
ดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยมุ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ดูเหมือนไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะยับยั้งการทรุดตัวของค่าเงินดังกล่าว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับตัวลงประมาณ 3% นับตั้งแต่เดือนพ.ค. โดยได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องแทบไม่ช่วยสกัดการอ่อนค่า โดยธนาคารคอมมอนเวลธ์ ออฟ ออสเตรเลีย คาดการณ์ว่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียจะร่วงแตะ 62 เซนต์สหรัฐภายในต้นปีหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563
ดอลลาร์ออสเตรเลียได้รับผลกระทบในช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่เชื่อมโยงกับทรัพยากร ซึ่งอ่อนไหวต่อความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโลก โดยดอลลาร์ออสเตรเลียอาจประสบปัญหามากขึ้น หากออสเตรเลียรายงานการจ้างงานเดือนส.ค.ที่อ่อนแอลงเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ หลังหดตัวแบบไม่คาดหมายในเดือนก.ค.
"นโยบายของแบงก์ชาติส่งผลต่อดอลลาร์ออสเตรเลียในวงจำกัดเท่านั้น โดยดอลลาร์ออสเตรเลียไม่เคยทำผลงานดีในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือถดถอย ในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งแกร่ง" นายเรย์ อัตทริลล์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ปริวรรตเงินตราของบริษัทเนชันแนล ออสเตรเลีย แบงก์ กล่าว
เงินดอลลาร์ออสเตรเลียและสหรัฐเข้าสู่ภาวะขาลงนับตั้งแต่กลางเดือนส.ค. โดยมีแนวโน้มแตะระดับสนับสนุนที่ระดับต่ำสุดของเดือนก.ค.ที่ 0.6682 เซนต์สหรัฐ โดยการหลุดระดับดังกล่าวจะเปิดทางให้ดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงสู่ 0.6464 เซนต์สหรัฐ
ดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแม้แบงก์ชาติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมทั้งหมด 2.25% นับตั้งแต่เดือนพ.ค. โดยในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี แต่ดอลลาร์ออสเตรเลียกลับร่วงเกือบ 1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
นายอเล็กซ์ จอยเนอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอฟเอ็ม อินเวสเตอร์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.4% ในการประชุมนโยบายเดือนต.ค.นี้ และสิ้นสุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 3% ในเดือนพ.ย. เนื่องจากเศรษฐกิจของออสเตรเลียมีความแตกต่างจากหลายประเทศ
ทั้งนี้ การคาดการณ์ของนายจอยเนอร์นั้นเป็นไปในเชิงรุกมากกว่าการคาดการณ์ถึงการปรับขึ้น 0.25% ของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับการส่งสัญญาณของนายฟิลิป โลว์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียที่ชี้ว่า RBA อาจลดขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% ติดต่อกัน 4 ครั้ง
นายโลว์เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของออสเตรเลียพุ่งสูงขึ้น แนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลงก็เพิ่มมากขึ้น โดยสวนทางกับนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ในปลายเดือนต.ค.นี้
นอกจากนี้ นายจอยเนอร์เน้นย้ำว่า RBA ต้องการรักษาเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ ในขณะที่ เจ้าหน้าที่นโยบายการเงินในประเทศอื่น ๆ มุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาเงินเฟ้อให้ได้โดยเร็ว แม้จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ตาม
และส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY มีการฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง
ในขณะที่การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แคนาดา CAD ได้มีการอ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน
ขณะที่ BTC ETH ได้ย่อตัวลงอีกครั้งในช่วงเช้าวานนี้ที่ผ่านมา
ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงในช่วงเช้าวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก และการที่จีนใช้มาตรการล็อกดาวน์เมืองสำคัญเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
ณ เวลา 09.14 น.เมื่อวานนี้ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 1.30 ดอลลาร์ หรือ 1.50% แตะที่ 85.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักวิเคราะห์จากคอมมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลียกล่าวว่า นักลงทุนมีความกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารต่าง ๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และการที่จีนยังคงยึดมั่นในนโยบายเป็นศูนย์ด้วยการล็อกดาวน์เมืองสำคัญนั้น จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้
ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 57% ในสัปดาห์ก่อน
ในขณะที่ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดเช้าวานนี้พุ่งขึ้นสวนทางตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สในเมื่อวานนี้ โดยนักลงทุนมีความหวังว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจะฟื้นตัว หลังจากเจ้าหน้าที่ของรัฐกล่าวเมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) ว่าญี่ปุ่นจะผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ หลังจากใช้มาตรการที่เข้มงวดในช่วงที่ผ่านมาเพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดภาคเช้าที่ระดับ 28,528.90 จุด พุ่งขึ้น 314.15 จุด หรือ +1.11%
หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้าวานนี้นำโดยหุ้นกลุ่มขนส่งทางอากาศ, กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า
ก่อนที่ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวจะมาปิดพุ่งขึ้นในเมื่อวานนี้ด้วยแรงซื้อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โดยนักลงทุนมีความหวังว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจะฟื้นตัว หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หลังจากใช้มาตรการที่เข้มงวดในช่วงที่ผ่านมาเพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 28,542.11 จุด พุ่งขึ้น 327.36 จุด หรือ +1.16%
หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในเมื่อวานนี้นำโดยหุ้นกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับงานชั่งตวงวัด, กลุ่มขนส่งทางอากาศ และกลุ่มขนส่งทางบก
สำนักข่าวฟูจิ นิวส์ เน็ตเวิร์กของญี่ปุ่นรายงานในเมื่อวานนี้ (12 ก.ย.) ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังวางแผนที่จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากบางประเทศเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ภายใต้ความพยายามในการผ่อนปรนมาตรการควบคุมพรมแดนที่บังคับใช้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้นำญี่ปุนอาจตัดสินใจเรื่องการยกเว้นวีซ่าในสัปดาห์นี้เป็นอย่างเร็ว ซึ่งจะอนุญาตให้นักเดินทางสามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นโดยไม่ต้องจองผ่านบริษัทด้านการเดินทางอีกต่อไป โดยญี่ปุ่นอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจาก 68 ประเทศและดินแดนเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่าในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด
ขณะที่ หนังสือพิมพ์นิกเกอิรายงานก่อนหน้านี้ (11 ก.ย.) ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจยกเลิกเพดานนักท่องเที่ยวขาเข้าภายในเดือนต.ค.นี้
นายเซจิ คิฮาระ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยผ่านรายการโทรทัศน์เมื่อวานนี้ว่า "เงินเยนอ่อนค่าถือเป็นปัจจัยที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดีที่สุด" พร้อมเสริมว่า ญี่ปุ่นต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
อนึ่ง ญี่ปุ่นเพิ่งประกาศเพิ่มเพดานต้อนรับนักท่องเที่ยวขาเข้าประเทศรายวันเป็น 50,000 รายจากเดิม 20,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมยกเลิกข้อกำหนดแสดงผลตรวจโควิด-19 เป็นลบก่อนออกเดินทางจากประเทศต้นทาง ซึ่งถือเป็นการผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดนที่เข้มงวดที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
หุ้นบริษัทเจแปน แอร์พอร์ต เทอร์มินัล พุ่งขึ้นกว่า 6% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นโตเกียวช่วงเช้านี้ หลังมีข่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งบังคับใช้เพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ ราคาหุ้นของสายการบินและผู้ประกอบการรถไฟและห้างสรรพสินค้าก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ท่ามกลางความหวังว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัว โดยเซบู โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 4.3% หุ้นอิเซตัน มิตซูโคชิ โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 3.4% และหุ้นเอเอ็นเอ โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 2.3%
นายเซจิ คิฮาระ รองหัวหน้าคณะรัฐมนตรี กล่าวในรายการของสถานีโทรทัศน์ฟูจิเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (11 ก.ย.) ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังวางแผนที่จะผ่อนปรนข้อจำกัดในการเดินทางเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยใช้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของสกุลเงินเยน
นอกจากนี้ นายคิฮาระกล่าวว่า รัฐบาลกำลังพิจารณายกเลิกมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวรายวันและผ่อนปรนข้อกำหนดด้านวีซ่า
ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา บริษัทเจแปน แอร์พอร์ต เทอร์มินัลคาดการณ์ว่า บริษัทจะยังคงขาดทุนในปีนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอุปสงค์การเดินทาง
จากการปิดพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงบ่ายวานนี้ยิ่งกดดันให้สกุลเงินเยนอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่สกุลเงินเยนจะกลับมาแข็งค่าขึ้นในเวลาต่อมาจากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงสู่กรอบล่าง 142 เยน เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อเงินเยนก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันอังคารที่ 13 ก.ย. โดยเงินเยนร่วงสู่ระดับต่ำสุดที่ประมาณ 145 เยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ที่แล้ว
ในขณะที่ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดบวกในเมื่อวานนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและเหมืองแร่ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของออสเตรเลียในสัปดาห์นี้
ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดที่ 6,964.50 จุด เพิ่มขึ้น 70.30 จุด หรือ +1.02% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,208.20 จุด เพิ่มขึ้น 69.20 จุด หรือ +0.97%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากราคาแร่เหล็กดีดตัวขึ้น โดยหุ้นริโอทินโต พุ่งขึ้น 1.3% และหุ้นบีเอชพี พุ่ง 2.8%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.ของออสเตรเลียจากเวสต์แพค และดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนส.ค.จากเนชันแนล ออสเตรเลีย แบงก์ (NAB) ในวันนี้
ส่วนในวันพฤหัสบดี ทางการออสเตรเลียจะเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนส.ค.
และจุดพลิกผันของตลาดในเมื่อวานนี้อยู่ที่การประกาศตัวเลข GDP ของอังกฤษในเวลา 13:00 ที่ผ่านมาในเมื่อวานนี้เลยครับ
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เดือนก.ค. ของอังกฤษ ขยายตัวเพียง 0.2% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% แต่ตัวเลขออกมามากกว่าตัวเลขในเดือนก่อนหน้าที่ออกมาที่ -0.6%
ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจของอังกฤษได้กลับมาขยายตัวอีกครั้งนั่นเอง
ONS กล่าวถึงกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ลดลงว่า หลักฐานดังกล่าวอาจชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงอุปสงค์ที่ชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น
เมื่อเดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ออกรายงานเตือนว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 จนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการเงิน โดยรายได้ในภาคครัวเรือนของอังกฤษจะทรุดตัวลงอย่างหนักในปี 2565-2566 ขณะที่การบริโภคเริ่มหดตัว
อังกฤษกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์เงินเฟ้อที่รุนแรง โดยนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปเตือนว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษจะพุ่งทะลุ 18% ในเดือนม.ค. 2566 โดยได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ของอังกฤษพุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบรายปี ทำสถิติพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ.2525 จากระดับ 9.4% ในเดือนมิ.ย.
แต่จากการประกาศตัวเลข GDP ของอังกฤษที่ได้กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง ได้ส่งผลให้สกุลเงินปอนด์กลับมาแข็งค่าเป็นอย่างมาก กดดันดัชนีดอลลาร์สหรัฐให้ร่วงลงอย่างหนัก และหนุนราคาทองคำให้พุ่งทะยานขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงบ่ายวานนี้ที่ผ่านมา
ในขณะที่ตลาดหุ้นอังกฤษฟิวเจอร์สได้พุ่งขึ้นเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์สพุ่งขึ้นตามไปด้วย และส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สฟื้นตัวขึ้นได้เช่นเดียวกัน และการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สนี้ได้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนให้ราคาทองคำและราคาน้ำมันพลิกจากที่ร่วงลงในตอนเช้าวานนี้กลับมาพุ่งทะยานขึ้นในช่วงบ่ายวานนี้
ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดเมื่อวานนี้บวกเป็นส่วนใหญ่ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่เพิ่มเติม และยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นอังกฤษจากการประกาศตัวเลข GDP ของอังกฤษในเมื่อวานนี้ที่ได้กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง
ดัชนี STOXX 600 เปิดตลาดที่ระดับ 420.36 จุด ลดลง 0.01 จุด หรือ -0.00%
ส่วนดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเปิดที่ระดับ 13,171.92 จุด เพิ่มขึ้น 83.71 จุด หรือ +0.64% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีเปิดที่ระดับ 6,242.46 จุด เพิ่มขึ้น 30.13 จุด หรือ +0.49%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.1% โดยเป็นการปรับตัวขึ้นแบบต่อเนื่องนับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากเป็นประวัติการณ์ที่ 0.75% พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นเพิ่มเติม
ธนาคารหลายแห่งคาดการณ์ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมเดือนต.ค.
ซึ่งได้เป็นปัจจัยหนุนให้สกุลเงินยูโรมีการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ได้กดดันให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐให้ร่วงลงอย่างหนัก ส่งผลให้ราคาทองคำมีการพุ่งทะยานขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงบ่ายวานนี้ที่ผ่านมา
และจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นอังกฤษและตลาดหุ้นยุโรป ได้ทำให้ตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์สมีการฟื้นตัวขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันพลิกกลับมาพุ่งขึ้นตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้ที่ผ่านมาเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พุ่งขึ้นกว่า 2% ทะลุ 88 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาด
ณ เวลา 20.16 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 1.90 ดอลลาร์ หรือ 2.19% สู่ระดับ 88.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียจะระงับการจัดส่งพลังงานโดยสิ้นเชิงให้แก่ชาติตะวันตก หากมีการใช้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันของรัสเซีย
ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติลดกำลังการผลิต 100,000 บาร์เรล/วันในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการลดกำลังผลิตครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี
นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัวจากการที่สหภาพยุโรป (EU) เตรียมคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียในวันที่ 5 ธ.ค. ขณะที่ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านกำลังเผชิญความไม่แน่นอน หลังชาติตะวันตกแสดงความไม่มั่นใจต่อความจริงใจของอิหร่านในการรื้อฟื้นข้อตกลงดังกล่าว
หากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านประสบความล้มเหลว ก็จะทำให้อิหร่านไม่สามารถกลับมาส่งออกน้ำมันในตลาดโลก
และจากการที่ตลาดหุ้นอังกฤษและตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้น รวมไปถึงการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์ส ได้เป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์สได้พุ่งขึ้นในช่วงบ่ายวานนี้ที่ผ่านมาเช่นกัน และเป็นปัจจัยหนุนให้ BTC กลับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 22,000$ ได้อีกครั้ง
BTC ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 22,000 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือน โดยได้อานิสงส์จากการคาดการณ์ที่ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 19.46 น.ตามเวลาไทย BTC พุ่งขึ้น 3.39% สู่ระดับ 22,362.64 ดอลลาร์ ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Coinbase (NASDAQ:COIN)
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนส.ค.ในวันนี้ โดยดัชนี CPI เป็นข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญตัวสุดท้าย ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 20-21 ก.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลข CPI ดังกล่าวจะบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 8.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี โดยชะลอตัวจากระดับ 8.5% ในเดือนก.ค.
ก่อนหน้านี้ ดัชนี CPI ทั่วไปพุ่งแตะระดับ 9.1% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไปปรับตัวลง 0.1% ในเดือนส.ค. โดยมีสาเหตุจากการดิ่งลงของราคาพลังงาน
หากดัชนี CPI ทั่วไปปรับตัวลงในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ก็จะเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563
นอกจากนี้ BTC ยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง Cryptocurrency
อย่างไรก็ดี BTC ยังคงทรุดตัวลงมากกว่า 50% จากต้นปี 2565 และปรับตัวต่ำกว่าระดับ 69,000 ดอลลาร์ที่เคยทำไว้ในเดือนพ.ย.2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.2565 ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุลจะฉุดสภาพคล่องในตลาด และส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอย!!!