รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ตลาดขานรับอย่างไรกับวิกฤตพลังงานในตอนนี้และตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาย่ำแย่

เผยแพร่ 08/09/2565 20:28
อัพเดท 09/07/2566 17:32

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดในวันพุธ (7 ก.ย.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลง ซึ่งช่วยหนุนแรงซื้อหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น Defensive ซึ่งเป็นหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,581.28 จุด เพิ่มขึ้น 435.98 จุด หรือ +1.40%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,979.87 จุด เพิ่มขึ้น 71.68 จุด หรือ +1.83% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,791.90 จุด เพิ่มขึ้น 246.99 จุด หรือ +2.14%

หุ้นกลุ่มเติบโตซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ดีดตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเทสลา ทะยานขึ้น 3.38% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ดีดขึ้น 1.17% หุ้นแอมะซอน พุ่งขึ้น 2.67% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 1.91% หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 3.77% หุ้นราล์ฟ ลอเรน พุ่งขึ้น 3.28%

หุ้นแอปเปิล ดีดตัวขึ้น 0.93% หลังแอปเปิลประกาศเปิดตัว iPhone 14 Series จำนวน 4 รุ่นในงานอีเวนต์ "Far Out" โดย iPhone 14 Series มาพร้อมกับฟีเจอร์ Emergency SOS via Stellite ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความฉุกเฉินผ่านระบบดาวเทียม แม้อยู่ในสถานที่ซึ่งห่างไกลและไม่มีสัญญาณมือถือหรือ WiFi

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การมีฟีเจอร์ Emergency SOS จะทำให้บรรดาสาวกของแอปเปิลให้การตอบรับต่อ iPhone 14 อย่างคึกคัก

นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม Defensive เช่นหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มสาธารณูปโภค ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 0.51% หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ บวก 0.61% หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ เพิ่มขึ้น 0.16% หุ้นพีจีแอนด์อี พุ่งขึ้น 4.09% หุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น พุ่งขึ้น 2.78%

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงกว่า 5% โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.88% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 1.72% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.28% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.85%

นักลงทุนยังคงจับตาการแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในวันนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดจะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของสถาบันคาโต (Cato Institute)

ส่วนเมื่อวานนี้ นางลาเอล เบรนาร์ด รองประธานเฟดกล่าวว่า "เฟดจะยังคงใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินต่อไปเป็นระยะเวลานานเท่าที่จะทำได้เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อ่อนตัวลง โดยการใช้นโยบายการเงินของเฟดอาจสร้างความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เฟดก็จะทำการประเมินทั้งสองด้าน แต่ในขณะนี้ เฟดจะใช้นโยบายการเงินที่คุมเข้มเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%"

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพุธ (7 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลง หลังจากการเปิดเผยข้อมูลการค้าที่อ่อนแอของจีนได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 412.01 จุด ลดลง 2.37 จุด หรือ -0.57%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,105.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด หรือ +0.021%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,915.97 จุด เพิ่มขึ้น 44.53 จุด หรือ +0.35% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,237.83 จุด ลดลง 62.61 จุดหรือ -0.86%

หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ซึ่งพึ่งพาตลาดจีน ร่วงลง 2.3% ขณะที่หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซของยุโรป ร่วงลง 3.1% โดยปรับตัวลงตามราคาโลหะและน้ำมันดิบ

ข้อมูลจากจีนบ่งชี้ว่า การส่งออกและการนำเข้าชะลอตัวลงเกินคาดในเดือนส.ค. ขณะที่เงินเฟ้อที่ระดับสูงได้สกัดกั้นอุปสงค์ในต่างประเทศ และการควบคุมครั้งใหม่เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงคลื่นความร้อนนั้นได้ส่งผลกระทบต่อผลผลิต

นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและปัญหาขาดแคลนพลังงานในยุโรป หลังรัสเซียยุติการส่งก๊าซผ่านท่อนอร์ดสตรีม 1 ให้กับยุโรป โดยสหภาพยุโรป (EU) ได้เสนอกำหนดเพดานราคาก๊าซของรัสเซียในวันพุธ (7 ก.ย.) หลังประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินขู่ที่จะยุติการส่งพลังงานทั้งหมดหาก EU ดำเนินการดังกล่าว และ EU กำลังวางแผนกำหนดเพดานราคาค่าไฟสำหรับบริษัทผู้ผลิตที่ไม่ได้ใช้ก๊าซ

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้นรับข่าวดังกล่าว โดยหุ้นอีดีพี, หุ้นเอสเอสอี, หุ้นเอ็นจี, หุ้นอาร์ดับบลิวอี และหุ้นเวอร์บันด์ พุ่งขึ้น 3.4-13.3%

นักลงทุนจะจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ (8 ก.ย.) ซึ่งคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า ECB จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.75% เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ในยูโรโซน

หุ้นยูบิซอฟต์ซึ่งเป็นบริษัทเกมของฝรั่งเศส ร่วงลง 17.2% หลังประกาศข้อตกลงที่บริษัทเทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์ของจีนจะเพิ่มการถือหุ้นในยูบิซอฟต์ ซึ่งบ่งชี้ว่า ไม่มีแนวโน้มที่ยูบิซอฟต์จะขายหุ้นทั้งหมด

หุ้นเอชแอนด์เอ็ม (H&M) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าแฟชั่นของสวีเดน ร่วงลง 2.3% หลังเจพีมอร์แกนแนะนำให้ลดน้ำหนักในหุ้นตัวนี้

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงในวันพุธ (7 ก.ย.) เนื่องจากราคาน้ำมันและโลหะที่ลดลงกดดันหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศต่าง ๆ ถ่วงบรรยากาศการซื้อขาย

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,237.83 จุด ลดลง 62.61 จุดหรือ -0.86%

นางลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่เปิดเผยว่า จะประกาศแผนการรับมือกับราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น แต่จะไม่กำหนดภาษีลาภลอย (windfall tax) ใหม่กับผู้ผลิตพลังงาน

หุ้นบีพีและหุ้นเชลล์ร่วงลง 2% และ 1.4% ตามลำดับ ขณะที่ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 4% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่รัสเซียบุกโจมตียูเครน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ที่เกิดจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะถดถอยและข้อมูลการค้าที่อ่อนแอของจีน

หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ร่วงลง 2.2% ตามราคาโลหะที่อ่อนแอ และถูกกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น

เงินปอนด์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์นับตั้งแต่ปี 2528 เนื่องจากนักลงทุนเทขายสินทรัพย์อังกฤษ ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซา และดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น

หุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 2% หลังบริษัทอาจเผชิญการฟ้องร้องของนักลงทุนที่เกี่ยวกับบริษัทในเครือที่ริโอ ทินโตถือหุ้นส่วนใหญ่

หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า ร่วงลง 1.1% หลังมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นเวชภัณฑ์ตัวนี้

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (7 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันนี้

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.34% แตะที่ระดับ 109.8400

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 0.9985 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9914 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.1502 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1527 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.6753 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6735 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 144.13 เยน จากระดับ 142.84 เยน แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9782 ฟรังก์ จากระดับ 0.9843 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3140 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3149 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรแข็งค่าขานรับการคาดการณ์ที่ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดเงินเฟ้อของยูโรโซนซึ่งขณะนี้อยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ 2% ของ ECB ถึง 4 เท่า

ส่วนเงินเยนร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ สวนทางกับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเป็นพิเศษ ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นปรับตัวกว้างขึ้น

ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอของอังกฤษ โดยธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญภาวะถดถอยยาวนานกว่า 1 ปี โดยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 จนถึงสิ้นปี 2566

นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของอังกฤษ เนื่องจากนางลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่มีนโยบายปรับลดอัตราภาษี รวมทั้งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือนของอังกฤษ

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (7 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกถดถอยยังทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 14.9 ดอลลาร์ หรือ 0.87% ปิดที่ 1,727.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 35.2 เซนต์ หรือ 1.97% ปิดที่ 18.26 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 13.3 ดอลลาร์ หรือ 1.59% ปิดที่ 847.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 49.60 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 2,022.80 ดอลลาร์/ออนซ์

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.34% แตะที่ระดับ 109.8400 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 3.282 เมื่อคืนนี้

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทองคำ โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ โดยสำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานว่า ยอดส่งออกเดือนส.ค.ของจีนเพิ่มขึ้นเพียง 7.1% ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือนก.ค.ที่มีการขยายตัว 18% เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ความต้องการสินค้าจีนในต่างประเทศลดลง ขณะที่ยอดการนำเข้าเดือนส.ค.ขยับขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ค.ที่ปรับตัวขึ้น 2.3%

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพุธ (7 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลการค้าที่อ่อนแอของจีนทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 4.94 ดอลลาร์ หรือ 5.7% ปิดที่ 81.94 ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 4.83 ดอลลาร์ หรือ 5.2% ปิดที่ 88 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมัน WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ต่างก็ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ยังร่วงหลุดจากระดับ 90 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.

ตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลการค้าที่ย่ำแย่ของจีน โดยสำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานว่า ยอดส่งออกเดือนส.ค.ของจีนเพิ่มขึ้นเพียง 7.1% ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือนก.ค.ที่มีการขยายตัว 18% เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ความต้องการสินค้าจีนในต่างประเทศลดลง ขณะที่ยอดการนำเข้าเดือนส.ค.ขยับขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนก.ค.ที่ปรับตัวขึ้น 2.3%

ข้อมูลของ GAC ยังระบุด้วยว่า จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลกนั้น นำเข้าน้ำมันดิบในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 9.92 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์สกัดโรคโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันนี้ และคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เช่นกันในวันที่ 21 ก.ย.

ส่วนเมื่อวานนี้ ธนาคารกลางแคนาดาประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 3.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี และในวันอังคารที่ผ่านมา ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 2.35% โดยธนาคารกลางทั้ง 2 แห่งส่งสัญญาณว่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้เวลา 22.00 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอลคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะลดลง 1.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ก.ย.

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญที่ออกมาในเมื่อคืนนี้

สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 0.8% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง

จำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ลดลง 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว และดิ่งลง 83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว และลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยเพื่อการจำนองแบบคงที่ระยะเวลา 30 ปี สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 647,200 ดอลลาร์ ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 5.94% จากระดับ 5.80% ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐลดลง 12.6% สู่ระดับ 7.06 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค.

ทั้งนี้ การนำเข้าลดลง 2.9% สู่ระดับ 3.299 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 2.593 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2565 สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุดต่อประเทศคู่ค้า 5 ชาติ ได้แก่ จีน เม็กซิโก เวียดนาม แคนาดา และญี่ปุ่น

แอปเปิล (NASDAQ:AAPL) อิงค์ จัดอีเวนต์ "Far Out" ในเมื่อคืนนี้ โดยมีการเปิดตัว iPhone 14 Series จำนวน 4 รุ่นตามคาด ได้แก่ iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max

iPhone 14 Series มาพร้อมกับฟีเจอร์ Emergency SOS via Satellite ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความฉุกเฉินผ่านระบบดาวเทียม แม้อยู่ในสถานที่ซึ่งห่างไกล และไม่มีสัญญาณมือถือหรือ WiFi

แอปเปิลให้บริการ Emergency SOS ด้วยความร่วมมือกับ Globalstar โดยบริการดังกล่าวจะเปิดตัวในเดือนพ.ย. ซึ่งลูกค้าจะสามารถใช้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปี

แอปเปิลเคาะราคา iPhone 14 ซึ่งมีหน้าจอ 6.1" เริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์, iPhone 14 Plus หน้าจอ 6.7" มีราคา 899 ดอลลาร์, iPhone 14 Pro หน้าจอ 6.1" มีราคา 999 ดอลลาร์ และ iPhone 14 Pro Max หน้าจอ 6.7" มีราคา 1,099 ดอลลาร์

แอปเปิลเปิดเผยว่า iPhone 14 Series ทุกรุ่นจะไม่ใช้ SIM การ์ดแบบเดิม แต่จะเป็น digital eSIM ซึ่งสามารถรองรับเบอร์โทรศัพท์ได้หลายหมายเลข รวมทั้งมีความปลอดภัยมากขึ้น

มีรายงานว่า ไทยติดกลุ่มประเทศ Tier 1 ซึ่งแอปเปิลจะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 9 ก.ย. และลูกค้าจะสามารถรับเครื่องในวันที่ 16 ก.ย.

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การมีฟีเจอร์ Emergency SOS จะทำให้บรรดาสาวกของแอปเปิลให้การตอบรับต่อ iPhone 14 อย่างคึกคัก

บ็อบ โอดอนเนล จาก TECHnalysis Research กล่าวว่า ความสามารถในการส่งข้อความฉุกเฉินดังกล่าวจะทำให้สาวกแอปเปิลพากันอัพเกรด iPhone ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดย iPhone 14 จะทำให้รู้สึกปลอดภัย เนื่องจากผู้ใช้จะมีความมั่นใจในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น แม้อยู่ในสถานที่อับสัญญาณ

"แม้นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องใช้ทุกวัน แต่มันจะเปลี่ยนมุมมองของคุณต่อการใช้มือถือ" โอดอนเนลกล่าว

ธนาคารกลางแคนาดาประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีในการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ ธนาคารกลางแคนาดาส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ธนาคารกลางระบุว่า แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปชะลอตัวลงสู่ระดับ 7.6% ในเดือนก.ค. จากระดับ 8.1% ในเดือนมิ.ย. แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยังคงดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 3

ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 2.6% ที่มีการระบุก่อนหน้านี้

เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งใหม่ในวันที่ 9 ก.ย.

ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.9% ในไตรมาส 2 หลังหดตัว 1.6% ในไตรมาส 1 ซึ่งการที่เศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค

อย่างไรก็ดี นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เขาไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากหลายภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงตลาดแรงงาน

ที่ผ่านมา สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ (NBER) ถือเป็นหน่วยงานในการตัดสินเกี่ยวกับการขยายตัวหรือการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยจะมีการพิจารณาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การจ้างงาน การบริโภค การผลิตในภาคอุตสาหกรรม และรายได้ส่วนบุคคล ก่อนที่จะทำการประกาศอย่างเป็นทางการ

นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนนี้ หลังการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ภาคบริการที่แข็งแกร่งของสหรัฐ

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 82% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 18% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 55.5 จากระดับ 56.7 ในเดือนก.ค.

ดัชนีภาคบริการของสหรัฐได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน

ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ

ทั้งนี้ ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่

นางลาเอล เบรนาร์ด รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินต่อไปเป็นระยะเวลานานเท่าที่จะทำได้เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อ่อนตัวลง

"การใช้นโยบายการเงินของเฟดอาจสร้างความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เฟดก็จะทำการประเมินทั้งสองด้าน แต่ในขณะนี้ เฟดจะใช้นโยบายการเงินที่คุมเข้มเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%" นางเบรนาร์ดกล่าว

นอกจากนี้ นางเบรนาร์ดระบุว่า แม้ว่าเงินเฟ้อได้ชะลอตัวลงในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เฟดจำเป็นต้องเห็นว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่เฟดจะมีความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 2% และเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยงการผ่อนคลายนโยบายเร็วเกินไปก่อนที่เงินเฟ้อจะอยู่ภายใต้การควบคุม

นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนนี้ หลังการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ภาคบริการที่แข็งแกร่งของสหรัฐ

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 82% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 18% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย