กำไร 233 ล้านบาท -51% มีทั้งปัจจัยบวกและลบ และประเด็นน่าสงสัยที่ต้องติดตาม มาดูกันครับ
ปัจจัยบวก
1. รายได้ดอกเบี้ย ATH 1,504 ล้านบาท มาจากการปล่อยสินเชื่อที่โตขึ้น 9.6% QoQ (สินเชื่อขึ้นๆ ลงๆ ไม่ค่อยสม่ำเสมอ แต่ถ้าดูทั้งปีก็โตอยู่)
2. NIM เพิ่มเป็น 2.41% ก็ดี เพราะว่า Loan Mix ไปทางรายย่อย และ SME มากขึ้น เป็นสิ่งที่แบงค์ต้องการไปทาง high yield มากขึ้นอยู่แล้ว
3. สินเชื่อที่เพิ่มมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต สาธารณูปโภค ที่อยู่อาศัย และลูกค้าบริษัทไต้หวันโตเยอะมาก
ปัจจัยลบ
1. รายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง ทั้งค่าธรรมเนียม และปันผล ตามตลาดทุนที่ไม่ดี ไปเจ๊ากับรายได้ดอกเบี้ย ทำให้รายได้รวมไม่โต
2. ตั้งสำรองช่วง COVID ปี 2020 ก็เกือบๆ 700 ล้านบาท แต่ปีที่แล้วหลังจาก CTBC เข้ามาถือหุ้นเพิ่มจนเป็นเบอร์ 1 แบบเด็ดขาด ก็ตั้งเพิ่มเยอะมาก โดยเฉพาะ Q4’21 สำรอง 1,546 ล้านบาท พอมา Q4 เหมือนจะลด แต่แล้วก็มาตั้งเพิ่มใน Q1’22 อีก 820 ล้านบาท
3. เหตุผลที่บริษัทให้ คือ เพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อและรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า แต่ NPL แค่ 2.4% เท่านั้น
ประเด็นที่สงสัยและน่าติดตาม
1. ลูกหนี้ที่ขอพักชำระหนี้เข้าใจว่ายังสูงอยู่ แบงค์อื่นทยอยออกไปเยอะ แต่ LHFG ยังขอให้ช่วย ถ้าไปดูรายละเอียดจะพบว่าเป็นกลุ่มโรงแรม และค้าส่ง แบงค์เองอาจจะกังวลหรือเปล่าว่า อาจจะมี NPL ในอนาคต
2. สินเชื่อลูกค้าไต้หวันโตเยอะมากเกือบ 50% จริงๆ พอร์ตไม่ใหญ่ 6,000 กว่าล้านบาท สัดส่วนแค่ 3% แต่ว่ามาจาก connection ของ CTBC ต้องติดตามว่าลูกค้ากลุ่มนี้ทำธุรกิจอะไร และมีโอกาสเกิด NPL หรือเปล่า
โดยสรุป สินเชื่อโตดี น่าจะโตต่อได้ รายได้ดอกเบี้ยก็คงเพิ่มได้อีก ส่วนรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยแนวโน้มลดลงตามตลาดทุนอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายพนักงานไม่ได้เพิ่ม แต่ถ้าจะเพิ่มในอนาคตอาจจะเป็นเรื่องค่าโฆษณา หรือค่าที่เกี่ยวกับ Digital ที่แบงค์พยายามเน้น
ประเด็นที่น่าติดตามที่สุด คือ การตั้งสำรอง และ NPL ว่ามีอะไรซ่อนอยู่โดยที่ยังไม่ได้ปรากฏออกมาหรือเปล่า ถ้ามีก็น่ากังวล แต่ถ้าไม่มีแค่ตั้งเผื่อไว้ ก็อาจจะตั้งลดลง หรือกลับสำรองได้บ้างในอนาคต
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น