ดูเหมือนว่าความหวัง ความเชื่อเกี่ยวกับจุดสูงสุดของเงินเฟ้อในรอบนี้คงจะยังไม่ถึงจุดพีคกันง่ายๆ และจากรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ยิ่งตอกย้ำความกังวลของตลาดลงทุนที่มีต่อการบริหารงานของรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐฯ
การที่ตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมออกมาอยู่ที่ 8.6% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขของเดือนก่อน และตัวเลขคาดการณ์นั้น ยิ่งทำให้ตลาดลงทุนเชื่อมากขึ้นว่าอาจจะได้เห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมที่จะถึงในวันพุธนี้ หากเป็นเช่นนั้นจริง จะยิ่งเพิ่มแรกดดันให้กับตลาดลงทุน และเพิ่มความเสี่ยงผลักเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาให้ตกลงสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ง่ายขึ้น
หลังจากที่ตัวเลข CPI ออกมา ตลาดลงทุนก็ตอบสนองต่อข่าวร้ายนี้ทันที ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปมากกว่า 1,000 จุดในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะดีดตัวกลับขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจปิดบวกได้ ในขณะที่ตลอดสัปดาห์ที่แล้วดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลง 5.1% ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ในบทความนี้เราก็มีหุ้นสามตัวที่น่าสนใจประจำสัปดาห์นี้มาฝากอีกเช่นเคย
1. Tesla
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังเทสลา (NASDAQ:TSLA) ประกาศแผนแตกพาร์หุ้นในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 หุ้น ซึ่งตามรายงานนั้นจะเริ่มแตกพาร์ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีในเดือนสิงหาคม จากแรงกดดันขาลงที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น ทำให้เทสลาต้องนำกลยุทธ์การแตกพาร์หุ้นออกมาใช้เพื่อดึงความสนใจของนักลงทุนให้เข้ามาสู่หุ้นบริษัทมากขึ้น
เงินเฟ้อ สงคราม และการดึงสภาพคล่องกลับของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ปีนี้หุ้นเทสลาปรับตัวลดลงมาแล้วเกือบ 35% เทียบกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ปรับตัวลดลงมาในช่วงเวลาเดียวกัน 18% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาซื้อขายหุ้นเทสลาล่าสุดอยู่ที่ $696.69
หากว่าแผนการแตกพาร์หุ้นนี้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นทางการ เท่ากับว่าเทสลาได้ใช้แผนแตกพาร์หุ้นแล้วสองครั้งในระยะเวลาไม่ถึงสองปี ครั้งแรกที่เทสลาประกาศแตกพาร์หุ้นเกิดขึ้นในปี 2020 ตอนนั้นได้มีการแตกพาร์ออกในอัตราส่วน 5:1 ทำให้หุ้นบริษัทปรับตัวขึ้นมากถึง 60% นับตั้งแต่วันที่เริ่มประกาศ ไปจนถึงวันที่เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการ
เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่แอมาซอน (NASDAQ:AMZN ก็ได้ปรับตัวขึ้นหลังจากมีการแตกพาร์หุ้นในอัตราส่วน 20:1 นับตั้งแต่ปี 1980 หุ้นบริษัทบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ประกาศแตกพาร์หุ้นมักจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่ประกาศไปได้ 3 เดือน 6 เดือนหรือ 12 เดือนแล้ว อ้างอิงข้อมูลจากแบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) หุ้นที่แตกพาร์แล้วมักจะปรับตัวขึ้นภายใน 12 เดือนหลังจากนั้นประมาณ 25% เช่นเดียวกันกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ปรับตัวขึ้น 9%
2. Oracle
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์และรับเป็นผู้วางโครงสร้างพื้นฐาน “โอราเคิล” (NYSE:ORCL) จะรายงานผลประกอบการแบบปีงบประมาณของไตรมาสที่ 4 ปี 2022 ในวันนี้หลังจากตลาดลงทุนสหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้โอราเคิลจะสามารถทำกำไรได้ $11,620 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.37
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทโอราเคิลได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรจากธุรกิจให้บริการคลาวด์ของตัวเองขึ้น บริษัทเชื่อว่าพวกเขาจะมีกำไรที่เพิ่มขึ้นจากระบบเครือข่ายคลาวด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีอัตราการเติบโตต่อปีสูงมาตั้งแต่่ชวงกลางปี 2020 รายได้รวมในไตรมาสล่าสุดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากถึง 5%
ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 แบบปีงบประมาณ ที่นับถึงวันที่ 38 กุมภาพันธ์ กำไรจากธุรกิจคลาวด์ของบริษัทโอราเคิลได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24% คิดเป็นเงิน $2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ โอราเคิลพยายามอย่างมากในการพัฒนาธุรกิจคลาวด์ และถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับคลาวด์เติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ไม่ด้อยไปกว่ายักษ์ใหญ่ในตลาดอย่าง Amazon, Microsoft (NASDAQ:MSFT) หรือ Alphabet's (NASDAQ:GOOGL)
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกที่มีต่อหุ้นเทคโนโลยี ได้ทำให้ราคาหุ้นของโอราเคิลปรับตัวลดลงมาตลอดทั้งปีนี้ 23% มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $67.14
3. Adobe Systems
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ตัดต่อรูปชื่อดังอย่าง “Photoshop” นามอะโดบี (NASDAQ:ADBE) จะรายงานผลประกอบการแบบปีงบประมาณของไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน หลังจากตลาดลงทุนสหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์เชื่อว่าอะโดบีจะสามารถทำยอดขายได้ $4,350 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.31
บริษัทผู้เป็นคู่แข่งของ Salesforce.com (NYSE:CRM) รายนี้กำลังพยายามที่จะขยายฐานธุรกิจ เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตของบริษัท เมื่อพวกเขารู้แล้วว่าข้อจำกัดของการเติบโตในตลาดซอฟต์แวร์นั้นอยู่ที่ไหน รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน การมีคู่แข่งมากขึ้นทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอาโดบีลดลง
นายชานทานู่ นาราเยน CEO คนปัจจุบันของบริษัทอะโดบีกล่าวว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงยกเครื่องครั้งใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 โครงสร้างใหม่นี้จะสะท้อนถึงคุณลักษณะที่อะโดบีเพิ่มเข้ามาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา คาดว่าจะเห็นผลกระทบเชิงบวกในแง่ของรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ อนึ่ง ตลอดทั้งปี 2022 หุ้นอะโดบีปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 30% มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $393.84