ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกายังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันมาตลอดทั้งปีของนักวิเคราะห์วอลล์สตรีท และนับวันก็ยิ่งมีประเด็นนี้เพิ่มมากขึ้น แม้จะมีรายงานจากกองทุน Hartford ที่ระบุว่าอัตราการปันผลเฉลี่ยที่ได้จาก S&P 500 ในระหว่างปี 1930 - 2021 อยู่ที่ 40% แต่แรงเทขายในปัจจุบันได้ผลักดัชนีS&P 500 ให้ยืนอยู่ขอบผาของการร่วงลงสู่สิ่งที่เรียกว่า “ตลาดหมีอย่างเป็นทางการ”
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่นักลงทุนต้องการคือสินทรัพย์หรือตลาดไหนก็ได้ที่สามารถทำกำไรไปพร้อมๆ กับการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และ ETF ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่อนุญาตให้นักลงทุนเข้ามาหลบภัยและทำกำไรไปในเวลาเดียวกัน ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำกองทุน ETF ที่สามารถสร้างกำไรให้กับผู้ถือครอง ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวนเช่นนี้ได้
1. Global X MLP ETF
ระดับราคาปัจจุบัน: $42.00
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $32.29 - $43.45
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 7.35%
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.45% ต่อปี
ห้างหุ้นส่วนจำกัด (MLP) เป็นสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน ที่มีการซื้อขายในสาธารณะโดยไม่ต้องเสียภาษีในระดับองค์กร 90% ของรายได้มาจากการสำรวจและการผลิต การขนส่ง และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแร่หรือทรัพยากรธรรมชาติ MLPs มักจะกระจายกระแสเงินสดมากกว่า 70% ให้กับนักลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ซึ่งมักจะเกิน 7%
ดังนั้นกองทุนตัวแรกที่เราจะแนะนำจึงมีความเกี่ยวข้องกับ MLP นั้นคือ Global X MLP ETF (NYSE:MLPA) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนกับบริษัทที่มี MLP อยู่ในการขนส่ง คลังเก็งสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน กองทุนนี้เป็นให้ลงทุนครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2012
MLPA เป็นกองทุนที่อ้างอิงราคาตามดัชนี Solactive MLP Infrastructure Index ปัจจุบันถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 20 บริษัท หากพิจารณาการถือครองออกเป็นสัดส่วนจะพบว่า MLPA ถือครองหุ้นในกลุ่มขนส่ง และคลังเก็บสินค้าปิโตรเลียม (46.2%) กลุ่มการรวบรวมและการประมวลผล (29.4%) และคลังเก็บก๊าซธรรมชาติ (24.4%)
หุ้น 10 ตัวแรกของกองทุนคิดเป็นสองในสามของสินทรัพย์ทั้งหมด $1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Enterprise Products Partners (NYSE:EPD), Energy Transfer (NYSE:ET), Magellan Midstream Partners (NYSE:MMP), MPLX (NYSE:MPLX) และ Western Midstream Partners (NYSE:WES)
ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน MLPA สามารถทำกำไรคืนมาแล้ว 19.5% และ 8.5% ภายใน 52 สัปดาห์ล่าสุด มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 11.53x และ 2.70x ตามลำดับ
2. First Trust BuyWrite Income ETF
ระดับราคาปัจจุบัน: $21.23
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $20.23 - $23.32
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 9.72%
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.85% ต่อปี
กองทุนตัวถัดมามีชื่อว่า First Trust BuyWrite Income ETF (NASDAQ:FTHI) กองทุนนี้เป็นกองทุนที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดออปชัน โดยจะเลือกเฉพาะหุ้นที่ทำกำไรจากการ short calls overlay หุ้นบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เท่านั้น ดังนั้นกองทุนนี้จึงจะทำกำไรจากการเทขายหุ้นผ่านตลาดออปชัน
FTHI เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2014 หุ้น 10 อันดับแรกของกองทุนคิดเป็นเกือบ 25% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $45 ล้านเหรียญสหรัฐ หากพิจารณาการถือครองออกเป็นสัดส่วน จะพบว่า FTHI ถือครองหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมากที่สุด 22.3% ตามมาด้วยกลุ่มดูแลสุขภาพ 13.6% กลุ่มพลังงาน 11.6% กลุ่มสินค้าจำเป็น 10.6% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 8.5%
หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Apple (NASDAQ:AAPL), Microsoft (NASDAQ:MSFT), Amazon.com (NASDAQ:AMZN), Alphabet (NASDAQ:GOOGL) และ Southern Copper (NYSE:SCCO)
ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมมาจนถึงปัจจุบัน FTHI ปรับตัวลดลงมา 3.4% และปรับตัวลดลงมาแล้ว 4.3% ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวลดลงมาในช่วงเวลาเดียวกัน 16.5% และ 6% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 14.45x และ 2.37x ตามลำดับ
กองทุน ETF Covered call นี้เป็นกองทุนเฉพาะตลาดออปชัน ที่ทำกำไรในช่วงที่ตลาดผันผวน นักลงทุนที่ไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในตลาดออปชันควรศึกษาเพิ่มเติม
3. Schwab US REIT ETF
ระดับราคาปัจจุบัน: $22.53
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $21.43 - $26.54
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.62%
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.07% ต่อปี
โดยปกติแล้ว ช่วงเงินเฟ้อจะทำให้ราคาของสินทรัพย์และบริษัทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นสูงขึ้น เช่น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ตามรายงานล่าสุดโดยสมาคมแห่งชาติของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (NAREIT) ระบุว่า REITs ให้ความคุ้มครองเงินทุนในยามที่ต้องต่อสู้กับเงินเฟ้อ สัญญาเช่าระยะยาวมักจะมีการป้องกันเงินเฟ้อไปในตัว และสัญญาเช่าระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับระดับราคาในปัจจุบัน
ดังนั้นกองทุนตัวสุดท้ายของเรา Schwab US REIT ETF (NYSE:SCHH) จึงมีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ SCHH เป็นกองทุนที่ลงทุนใน REIT ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่รวมถึง REIT ที่มีการจำนอง กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2011
ปัจจุบัน SCHH ถือครองหุ้นทั้งหมด 142 ตัว หุ้น 10 อันดับแรกคิดเป็นเกือบ 40% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $6,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังในกองทุนนี้ได้แก่ American Tower (NYSE:AMT) Crown Castle International (NYSE:CCI) Prologis (NYSE:PLD) Equinix (NASDAQ:EQIX) และ Public Storage (NYSE:PSA)
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน SCHH ปรับตัวลดลงมา 14.4% แต่หากพิจารณาตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด จะพบว่า SCHH มอบผลตอบแทนคืนมาแล้วเกือบ 0.8% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 38.20x และ 3.04x ตามลำดับ หากปรับตัวลงมาถึงระดับราคา $21 ถือเป็นจุดเข้าที่ดีกับการลงทุน ETF ตัวนี้