ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ได้สร้างจุดสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจเร่งตัวขึ้นอีกในช่วงใกล้ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม หรือวันทหารผ่านศึกของชาวอเมริกัน ที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูกาลท่องเที่ยว ด้วยการขับรถมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา นอกจากราคาปั๊มน้ำมันเบนซินและดีเซลของสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว เราก็อาจได้เห็นการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบด้วยเช่นกัน จากปัจจัยความไม่แน่นอนของเปิดเซี่ยงไฮ้อีกครั้งจากการล็อกดาวน์ COVID นานสองเดือนในประเทศจีน
ในการเปิดตลาดซื้อขายวันแรกเมื่อวานนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันเบรนท์เล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ความต้องการน้ำมันที่เกินปกติ เทียบกับการผลิตพลังงานเกือบทุกรูปแบบในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ WTI นั้นสะท้อนให้เห็นว่าโลกเริ่มลำดับความสำคัญของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบใหม่ แสดงให้เห็นว่าน้ำมันของสหรัฐเหนือกว่าคู่แข่งอย่างสหราชอาณาจักรอย่างไร
เมื่อวานนี้ในช่วง 14:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ราคาน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนกรกฎาคมมีราคาอยู่ที่ 111.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 92 เซนต์ หรือ 0.8% ในวันเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าของเบรนต์ ที่จะส่งมอบในเดือนกรกฎาคมก็มีตัวเลขอยู่ที่ 110.98 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 99 เซนต์ หรือ 0.9%
Sunil Kumar Dixit หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านเทคนิคของ skcharting.com กล่าวว่า
“หากแนวโน้มขาขึ้นได้รับแรงสนับสนุนมากพอ WTI สามารถปรับตัวขึ้นไปเป็น 123.70 ดอลลาร์ได้ ขาขึ้นของ WTI ในสัปดาห์นี้จะขึ้นอยู่กับราคาสามารถยืนอยู่เหนือ 108.50 ดอลลาร์ ได้นานแค่ไหน ถ้าหลุดแนวรับนี้ลงไป จะทำให้ WTI ปรับตัวลดลงไปยัง 105 ดอลลาร์ ถ้าลงไปถึงจุดนั้น จะนับเป็นจุดสิ้นสุดสำหรับแนวโน้มขาขึ้นในปัจจุบัน”
โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาที่มีการขับรถ และมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดของสหรัฐฯ มักเริ่มต้นนับตั้งแต่วันรำลึกถึงทหารผ่านศึก ในวันที่ 30 พฤษภาคม ยาวไปจนถึงวันแรงงานในช่วงสิ้นเดือนกันยายน สตีเฟน อินเนส หุ้นส่วนผู้จัดการของ SPI Asset Management กล่าวให้ความเห็นกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า
“สาเหตุที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเป็นเพราะตลาดน้ำมันเบนซินยังคงตึงตัว ท่ามกลางความต้องการน้ำมันที่มากขึ้น เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันจะเริ่มออกมาท่องเที่ยวด้วยการขับรถ ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงที่โรงกลั่นน้ำมันต้องทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองความต้องการน้ำมันของชาวอเมริกันทั่วทั้งประเทศ”
แม้จะมีความกลัวว่าราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอาจทำให้ซัพพลายน้ำมันลดลง แต่ข้อมูลจาก TomTom และ Google (NASDAQ:GOOGL) กลับบอกว่าปริมาณน้ำมันดิบสำรองในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าผู้คนอาจจะยังไม่ได้เตรียมตัวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการท่องเที่ยวก็เป็นได้
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอาจมาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อวานนี้ เพราะนั่นทำให้ผู้ที่ถือครองสกุลเงินอื่นสามารถซื้อน้ำมันดิบในราคาที่ถูกลง ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ รายสัปดาห์ได้ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ ในตลาดลงทุนฝั่งเอเชียเมื่อวานนี้ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงมาที่ 102.67 จุด เทียบกับจุดสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ 105.06 จุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ถึงกระนั้น นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า ขาขึ้นของราคาน้ำมันอาจจะไม่สามารถไปไกลได้มากนัก สาเหตุเป็นเพราะความกังวลของตลาดลงทุน ที่มีต่อความพยายามของจีนในการปราบปรามโควิด-19 ด้วยการล็อกดาวน์ แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลจีนจะเตรียมเปิดเซี่ยงไฮ้อีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายนจากการล็อกดาวน์มายาวนานกว่า 2 เดือน การควบคุมเศรษฐกิจในจีน ได้สร้างกระทบต่อผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ก่อให้เกิดการปรับนโยบายการเงินเพื่อค้ำจุนเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มากกว่าที่คาดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
นักวิเคราะห์ของ ANZ ระบุในหมายเหตุว่า "การล็อกดาวน์โควิด-19 ทำให้ความต้องการน้ำมันในจีนลดลงชั่วคราว สวนทางกับความต้องการน้ำมันในประเทศอื่นๆ ที่กำลังพยายามกลับเข้าสู่ระดับปกติ"
สถานการณ์ของราคาทองคำฟิวเจอร์สบนตลาด COMEX ที่จะส่งมอบในเดือนมิถุนายนนั้นมีราคาซื้อขายอยู่ที่ 1,852.87 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.77 เซนต์ หรือ 0.6% นี่คือตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 2% ในสัปดาห์ที่แล้ว
สาเหตุที่ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้เกิดจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ที่สำคัญ นักลงทุนกำลังรอรายงานการประชุมของเฟด จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีกำหนดจะออกสู่สาธารณชนในวันพรุ่งนี้
นักวิเคราะห์จาก skcharting.com คนเดิม ให้ความเห็นต่อราคาทองคำว่า
“ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะทดสอบระดับแนวต้าน 1867 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับราคาตามเครื่องมือฟีโบนักชี 38.2% ของจุดสูงสุดที่ 1,998 ดอลลาร์ และจุดต่ำสุดที่ 1,787 ดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า จากการวิเคราะห์ด้วยราคาทองคำสปอต ราคาต้องยืนเหนือ 1858 ดอลลาร์ให้ได้เพื่อรักษาต่อเนื่องความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น มิเช่นนั้นแล้ว มีโอกาสที่ทองคำจะปรับฐานลงไปที่ 1,836-1,825-1,800 ดอลลาร์ และถ้ายังลงต่อ ก็อาจจะสามารถลงไปถึงแนวรับ 1,780-1,760 ดอลลาร์”
อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ที่ยังเคงวิ่งอยู่ต่ำกว่า 2.80% ซึ่งตอนนี้ก็ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ระหว่าง 2.60% ถึง 2.40% และเพราะดัชนี เอสแอนด์พี 500 ที่เป็นเหมือนตัวแทนของตลาดลงทุนสหรัฐฯ ยังคงวิ่งอยู่ในตลาดหมี นักลงทุนจึงค่อนข้างคาดหวังกับรายงานการประชุมของเฟด ว่าจะรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นได้อย่างไร
ประธานเฟดเจอโรม พาวเวลล์มั่นใจว่าธนาคารกลางจะสามารถพาเครื่องบินเศรษฐกิจของอเมริกาลงจอดได้อย่างนุ่มนวล แต่นักวิเคราะห์กลับไม่เชื่อเช่นนั้น ส่วนใหญ่แล้วยังคงมีแต่บทความที่พูดถึงโอกาสที่เศรษฐกิจจะถดถอยอยู่มากมาย นักยุทธศาสตร์ของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดการณ์ว่ามีโอกาส 35% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีกสองปีข้างหน้า ในขณะที่นักวิเคราะห์ของเวลล์ ฟาร์โก (Wells Fargo) คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยเล็กน้อยในช่วงปลายปี 2022 และต้นปี 2023
นับตั้งแต่เดือนมีนาคมมาจนถึงปัจจุบัน เฟดได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 75 จุดเบสิส ส่วนในอนาคตที่เหลือนั้น ตลาดลงทุนเชื่อว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมอีกครั้งละ 0.50% พาวเวลล์ให้คำมั่นว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงเท่าที่จำเป็นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ รายงานการประชุมในวันพรุ่งนี้อาจจะแสดงให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายมีแนวคิดต่อเงินเฟ้อในตอนนี้อย่างไร? เศรษฐกิจจะมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะเผชิญกับนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นหรือไม่?
อีกหนึ่งมาตรวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญในสัปดาห์นี้คือรายงานผลประกอบการจากบริษัทค้าปลีกชื่อดังเช่น Costco (NASDAQ:COST), Dollar General (NYSE:DG) และ Best Buy (NYSE:BBY) สัปดาห์ที่แล้ว บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart (NYSE:WMT) และ Target (NYSE:TGT) สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนไปแล้ว จากรายงานผลประกอบการของทั้งสองบริษัท แม้จะมีคนกลับไปเดินห้างสะดวกซื้อมากขึ้น แต่ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยกลับลดลง
ความกังวลเหล่านี้โดยปกติแล้วควรจะสนับสนุนขาขึ้นของทองคำ ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง แต่เพราะแผนการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2022 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้ทองคำยังไม่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ในระยะยาว