เงินบาทกลับมาแข็งค่าหลังอ่อนค่าแรงขึ้นไปบริเวณ 35 บาท/USD ซึ่งตีความ การอ่อสค่าว่าเป็นการดูดซับ ผลต่างในเชิงการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ที่ตึงตัวเชิงรุก ขณะที่ ธปท. ยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายสนับสนุน การฟื้นตัวเศรษฐกิจ ประเมินการกลับมาแข็งค่าของเงินบาทน่าจะเป็น ภาวะการพักตัวระยะสั้นรอดูการเปลี่ยนแปลงในเดือน มิ.ย.65 ซึ่ง Fed จะเริ่ม ลดขนาดงบดุล การกลับมาแข็งค่าของเงินบาท น่าจะเปิดโอกาสให้เห็น Fund Flow ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อหุ้น Market Cap ใหญ่ ส่วนผลประกอบการ 1Q65 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิ 2.74 แสนล้านบาท ช่วยเปิด Upside ต่อประมาณการกำไรปี 2565 เล็กน้อย
SET Index น่าจะดีดตัวกลับขึ้นในระยะสั้น กรอบ 1615 – 1631 จุด พอร์ต จำลองให้ลดเงินสดลงจาก 30% เป็น 20% ให้เข้าซื้อ STEC น้ำหนัก 10% หุ้น Top Pick เลือก BBL, MINT และ STEC
จับตาจีนคลายล็อกโควิด-ประชุมเฟด กดดัน USD อ่อนค่า - บาทกลับมาแข็ง
การทยอยคลายล็อกดาวน์ของจีน โดยจะกลับมาเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจในเมื่องสำคัญ ตั้งแต่ 1 มิ.ย.65 มีส่วนทำให้เงิน USD ที่ก่อนหน้านี้แข็งค่าขึ้นไปอย่ารวดเร็ว สะท้อนการ ใช้นโยบายการเงินตัวตัวของ Fed กลับอ่อนค่าลงมา โดยแรงกดดดัน USD ให้อ่อนค่าอีก ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่ตลาดได้ดูดซับประเด็นเงินเฟ้อสูงไปแล้วระดับหนึ่ง และยังมี ช่องว่างหรือระยะเวลาก่อนการประชุม Fed ในกลางเดือน มิ.ย. ผลดังกล่าวทำให้Fund Flow บางส่วนการไหลกลับสินทรัพย์เสี่ยงบ้างในช่วงสั้น ภาวะดังกล่าวทำให้เงินบาทใน เชิงเปรียบเทียบกับเงิน USD แข็งค่าได้ซึ่งมองในมุมของแรงจูงใจแล้วอาจทำให้Fund Flow ต่างชาติกลับไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้อย่างน้อยก็ในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุน ต่างชาติมีโอกาสกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์หากค่าเงินบาทแข็งค่า หรือคาดหวัง Fund Flow หนุนในช่วงนี้ดังนี้
1. กลุ่มที่มีต้นทุน หรือหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศ อาทิ GULF, BGRIM, EGCO PTT (BK:PTT), PTTEP, PTTGC, BA, AAV
2. กลุ่มที่เน้นการนำเข้า อาทิ TFG, TVO
3. กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์หาก Fund Flow ไหลเข้า แนวโน้มกำไร ฟื้นตัว อาทิ KBANK (BK:KBANK), SCB, BBL, TISCO, OR, IVL, SCC, TOP, CPALL (BK:CPALL), CRC, ADVANC, STEC
กำไรงวด 1Q65 ยังทำได้ดี คอยพยุงดัชนี SET ให้ผันผวนน้อยลง
ล่าสุดบริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรงวด 1Q65 ออกมา 630 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน Market Cap. 96% ของบริษัททั้งหมดในตลาด มีกำไรรวมกันอยู่ที่ 2.74 แสนล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 26% ของประมาณการทั้งปี) และเมื่อเทียบกับกำไรทุกบริษัทในช่วง เดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 9.7%yoy ลดลงเล็กน้อยเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน - 1.0%qoq
ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจ หรือ GDP งวด 1Q65 เติบโต 2.2% ดีกว่าคาด และกำไรงวด 1Q65 เติบโตได้เกือบ 10%yoy แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตยังแข็งแรง ในยาม ที่ปัจจัยภายนอกผันผวน และหากไปมองดูประมาณการกำไรทั้งปีจาก Bloomberg Consensus ยังไม่เห็นสัญญาณในการปรับประมาณการกำไรลง เช่นเดียวกับฝ่ายวิจัย ASPS ที่ประเมินกำไร 2565F ที่ 1.04 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS65F 88.9 บาท/หุ้น ถือ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณคอยช่วยพยุงดัชนีตลาดหุ้นไทย
Fund Flow ยังคอยหนุนหุ้นไทย...หลังเลือกตั้งผู้ว่าฯ หุ้นมักขยับขึ้น
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ SET Index จะผันผวน แต่ยังบวกได้2.4% ได้แรงหนุน จาก Fund Flow ต่างชาติที่ทยอยสะสมหุ้นไทย โดยซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย 8.0 พันล้าน บาท (เป็นการซื้อสุทธิสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค อันดับ 1 ในกลุ่ม TIP)
นอกจากนี้ยังมีการซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures ทุกวัน ด้วยมูลค่ารวม 7.16 หมื่น สัญญา เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่า 1.7% ซึ่ง Fund Flow ที่ ทยอยสะสมหุ้นไทยน่าจะช่วยให้ความผันผวน และ Downside ของตลาดลดลงในช่วง สั้นได้ และในช่วงสั้น SET ยังมีแรงบวกเล็กๆ หากอิงจากสถิติในอดีตย้อนหลัง 22 ปี หลังการ เลือกตั้งผู้ว่ากทม. 7 วัน SET Index มักให้ผลตอบแทนบวกเกือบๆ 3% (ไม่นับการ เลือกตั้งในช่วงวิกฤตซับไพร์ม) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกทม.และปริมณฑล มีสัดส่วน เศรษฐกิจหรือ GDP เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ
กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1615 – 1631 จุด แนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ ได้แรงหนุน Fund Flow และราคา Laggard อย่าง STEC, MINT, BBL เป็น Top pick
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities