สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปขึ้นปราศรัยที่งานมหกรรมการเงิน TOLEXPO ของตลาดหลักทรัพย์อิตาลี ในเมืองมิลาน ซึ่งทำให้ผมได้มีโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนความเห็นกับนักลงทุนหลายคน ความรู้สึกที่ผมสามารถสัมผัสได้มีตั้งแต่ความกลัว ความวิตกกังวล ไปจนถึงความไม่แน่นอน มองไปทางไหนก็มีแต่ความคิดเชิงลบทั้งหมด นักลงทุนสองสามคนมีแนวโน้มว่าต้องการช้อนซื้อในวันที่ตลาดปรับตัวลดลงมา แม้จะมีคนคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยอยู่มาก
เรามาดูสถานการณ์ปัจจุบัน โดยอ้างอิงจากข้อมูลตัวเลข และเหตุผลเป็นหลัก
หากเราดูดัชนีเอสแอนด์พี 500 ซึ่งเป็นมาตรวัดหลักตัวหนึ่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะพบว่าดัชนีได้ร่วงลงมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันแล้ว 18.16% นอกจากนี้เรายังทราบด้วยว่าการปรับตัวลดลง (คำนวณจากการปิดของวันพุธ) ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีนั้นถือเป็นการปรับตัวลดลงหนักที่สุดเป็นอันดับสองของประวัติศาสตร์ตลาดลงทุนวอลล์สตรีท
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มักจะมีคนอยู่ทั้งหมดสองประเภท ประเภทแรกคือคนที่มองว่ายังเหลือน้ำอยู่อีกตั้งครึ่งแก้ว กับคนที่มองว่าเหลือน้ำอีกแค่ครึ่งแก้ว หรือจะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือในช่วงเวลาแบบนี้มีทั้งคนที่มองว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย และบางคนที่มองว่าตอนนี้คือโอกาส ส่วนตัวแล้วผมเชื่อไปทางด้านโอกาสนะ แต่คำว่าโอกาสของผมนั้นก็มีเหตุผลรองรับ เพราะผมเป็นนักลงทุน และกลยุทธ์ของผมถูกสร้างขึ้นเพื่อมองยาวไปจนถึงปี 2030 ช่วงเวลาที่ผันผวนนี้ ถือเป็นเพียงการพักฐานครั้งหนึ่ง ที่นักลงทุนระยะยาว (อย่างผม) อาจจะต้องเผชิญ
ตอนนี้ทุกคนกำลังพูดถึงแต่คำว่าภาวะถดถอย ค่าเฉลี่ยของการปรับฐานในช่วงภาวะถดถอยคือ -24% (ดูที่กราฟด้านล่าง) เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ ให้คำนึงถึงความเป็นไปได้ของตลาดที่อาจจะลงไปอีก -25%/-30% แน่นอนว่าอาจจะมีการปรับตัวลดลงต่อได้อีกในอนาคต แต่เราต้องดูความน่าจะเป็นและความถี่ทางสถิติ
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับระดับราคาที่เป็นไปได้ของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในช่วงระหว่างปี 2022 -2023 โดยจำลองออกมาอยู่ภายใต้ 3 สถานการณ์จำลอง (เป็นกลาง เป็นบวก และเป็นลบ) กรอบการคำนวณของมอร์แกนนั้น อยู่ต่ำกว่าระดับราคาปัจจุบัน 17% และสูงกว่าระดับราคาปัจจุบัน 11% ตามรูปที่ปรากฎอยู่ด้านล่าง
เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าการคาดคะเนประเภทนี้แทบไม่มีประโยชน์เลย ถ้าไม่ได้เอาไว้ใช้ประโยชน์สำหรับการเข้าวงสนทนาหรูๆ เนื่องจากเราไม่สามารถทำนายอนาคตได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงพูดเสมอว่าให้มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ และวิธีการทำให้ระบบการลงทุนภายใต้บางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง สามารถใช้งานได้จริง ผมคิดว่าวิธีนี้มีประโยชน์มากกว่า
ถ้าดูในกราฟด้านล่าง เราจะสังเกตเห็นว่าแม้ตลาดจะปรับตัวลดลงไปถึงระดับ -18% ระดับเงินสดของนักลงทุนที่ยังคงรอจังหวะอยู่มีจำนวนมากกว่าที่นักวิเคราะห์แง่ร้ายประเมินมากนัก ไม่ใช่แค่เพียงแค่ช่วงโควิด แต่ยังรวมถึงวิกฤตซับไพรม์ด้วย
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่านักลงทุนในปัจจุบันเคลื่อนไหวไปตามกระแสมากเกินไป เหมือนกับลูกบอลที่ถูกกระแทกให้ไปซ้ายทีขวาทีโดยที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าอันที่จริงแล้วตอนนี้กระแสเงินสดในตลาดตามความเป็นจริงแล้วมีระดับเป็นอย่างไร เงินสดเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากการขาย (ขาดทุน) หรือการจัดการที่ไม่ถูกต้องมาก่อน
เป็นอีกครั้งที่ผมต้องขอนุญาตหัวเราะ สถานการณ์ในตลาดตอนนี้เหมือนกับเวลาที่ผู้คนชอบทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาควรทำ เมื่อเข้าไปซื้อของในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้า นั่นคือ ยอมซื้อสินค้าในราคาปกติแทนที่จะรอลดราคา ช่วงเวลานี้เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความย้อนแย้งในพฤติกรรมมนุษย์ และควรทำให้นักลงทุนที่ยังมีสติอยู่ตระหนักได้ว่าบ่อยแค่ไหนที่การลงทุนที่ผิดพลาดไม่ได้เกิดจากตลาด แต่เกิดจากตัวเอง