Investment Ideas: • ภาพรวมการลงทุน - เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,630 จุด SET มีโอกาสกลับมาตอบรับเชิงลบต่อจากความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง หลัง SET ที่กลับมา ฟื้นตัว ตอบรับปัจจัยบวกระยะสั้น ทั้งรายงาน GDP ของไทย และการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ใน จีน เพิ่มความกังวลต่อการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่กําหนด โดยก่อนหน้านี้ประธานเฟด ระบุว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 50bps ในการประชุมเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ภาวะเงินเฟ้อที่ปรับ เพิ่มเริ่มส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมิน หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อการจํากัดการฟื้นตัวของ SET คือการปรับลดประมาณการผลประกอบการ จาก ต้นทุนดําเนินงานที่ปรับเพิ่ม กระทบผลประกอบการของ Real Sector เรายังคงมุมมองเดิม คาดว่า SET ในช่วงที่เหลือของเดือน พ.ค. ถึงต้นเดือน มิ.ย. ยังคงผันผวน กลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นตั้งรับ และยังเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มที่ Laggard โดยเราเลือก CPF PTG SINGER AMATA และ BEM เป็นหุ้นเด่น โดยหุ้น Laggard play ที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นในกลุ่มอาหาร TUCPF GFPT และ TFG หุ้นในกลุ่มขนส่ง BEM BTS และ PSL หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC GULF และ BGRIM หุ้นในกลุ่ม Oil Station PTG และ SUSC0 หุ้นในกลุ่มสื่อสาร ADVANC หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม WHA และ AMATA กลุ่มค้าปลีก HMPRO และ CPALL (BK:CPALL) รวมไปถึงหุ้นใน Theme หลักเราให้น้ําหนัก เนื่องจากมีปัจจัย บวกเฉพาะตัว ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า เราเลือก EPG SMPC ASIAN TU GFPT TFG SAPPE และ MEGA หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบียขาขึ้น เราเลือก BLA และ TIPH หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการ เปิดประเทศ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธุรกิจการบิน เราเลือก AOT (BK:AOT) BAFS ERW SHR หุ้นในกลุ่มขนส่งในประเทศ และ หุ้นในกลุ่ม Anti-commodity เราเลือก PTG SUSC00SP CBG และ BJC เป็นหุ้นเด่น เงินเฟ้อ Bond Yield ปรับเพิ่ม กดดันสินทรัพย์เสียง - สํานักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) รายงานดัชนี ราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษ เดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 2.5%MoM และเพิ่มขึ้น 9.09%YoY (คาดเพิ่มขึ้น 2.6%MoM และเพิ่มขึ้น 9.1%YoY) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่มีการเริ่มต้นเก็บข้อมูลในปี 2532 เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ทําให้วิกฤตค่าครองชีพของอังกฤษ ปรับเพิ่มขึ้น โดยที่ ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา หน่วยงานกํากับดูแลด้านพลังงานของอังกฤษได้เพิ่มเพดานราคาพลังงาน ภาคครัวเรือน 54% หลังราคาพลังงานเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์ของราคาก๊าซฯ ใน ตลาดโลก ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 4 ครั้งติดกัน เพื่อ ควบคุมเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ทําให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1% ประเด็นดังกล่าวยิ่งทําให้ ความเชื่อมั่นต่อการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ลดลง และเพิ่มน้ําหนักต่อการที่ เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75bps ในการประชุม FOMC ระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย. ที่ระดับ 75bps เพื่อ สกัดเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มสูงสุดในระดับ 40 ปี โดยก่อนหน้านี้กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคา ผู้บริโภค (CPI) เดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 8.39%YoY เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน มี.ค. ที่ระดับ 8.5%YoY
รายงานตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจที่สําคัญ - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้าน เดือน เม.ย. ลดลง 0.2% สู่ระดับ 1.724 ล้านยูนิต ขณะที่ Market Consensus คาดลดลงสู่ระดับ 1.765 ล้านยูนิต รายงานการเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง และการ ขาดแคลนแรงงาน ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านสําหรับครอบครัวเดียว ลดลง 7.3% สู่ระดับ 1.100 ล้านยูนิต ส่วนการก่อสร้างบ้านสําหรับหลายครอบครัว ซึ่งรวมถึงอพาร์ทเมนท์และคอนโดมิเนียม เพิ่มขึ้น 16.8% สู่ ระดับ 612,000 ยูนิต การอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 3.2% สู่ระดับ 1,819 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ําสุด นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2564 การอนุญาตก่อสร้างบ้านสําหรับครอบครัวเดียวลดลง 4.6% สู่ระดับ 1.110 ล้าน ยูนิต เป็นระดับต่ําสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2564 ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านสําหรับหลายครอบครัวลดลง 0.6% สู่ระดับ 656,000 ยูนิต / สํานักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) รายงาน ปริมาณสํารองน้ํามันดิบสหรัฐฯ ลดลง 3.4 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (คาดเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล) นอกจากนี้ EIA ยังรายงานปริมาณสํารองน้ํามันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญา น้ํามันดิบล่วงหน้าของสหรัฐฯ ลดลง 2.4 ล้านบาร์เรล ด้านปริมาณสํารองน้ํามันเบนซินลดลง 4.8 ล้านบาร์เรล (คาดลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล) และปริมาณสํารองน้ํามันกลัน (รวมถึงฮีตติงออยล์และน้ํามันดีเซล) เพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (คาดทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้) บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานวันนี้ - Company Update: CHG Company Update: CHG (ซื้อ., ราคาเป้าหมาย 4 บาท) คาด 2Q65 ลดลง QoQ จากจํานวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ลดลง - ปรับกําไรสุทธิปี 65 ขึ้น สะท้อนผลการดําเนินงานดีกว่าคาด เติบโตแบบ Organic growth จาก
(1) รายได้จากศูนย์หัวใจ 3 แห่ง
(2) จํานวนผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมเพิ่มขึ้น
(3) ผู้ป่วยชาวต่างชาติกลับเข้ามาใช้บริการ หลังเปิดประเทศ และ
(4) การเปิดศูนย์มะเร็งในช่วง 2H65 กําไร สุทธิ 1Q65 เติบโต 439%YoY แต่ลดลง 25%QoQ แนะนํา “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 4.00 บาท
ปัจจัยทางเทคนิค - หุ้นแนะนํา @ CPALL (แนวต้าน 65.50-67.00 / แนวรับ 63.50-62.75/Stop loss 61.75) G BGRIM (แนวต้าน 34.50-35.50 / แนวรับ 32.50-31.50 /Stop loss 29.75) G CRC (แนว ต้าน 38.75-40.00 / แนวรับ 35.00-36.25 / Stop loss 33.00)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities