Investment Ideas:
ภาพรวมการลงทุน - เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,630 จุด SET วานนี้ปรับตัว ขึ้นกว่า 30.11 จุด (+1.9%) Outperform market ในภูมิภาค และดีกว่าที่เราคาด ส่วนหนึ่งเป็นการ ตอบรับเชิงบวกการรายงาน GDP ในช่วง 1Q65 ที่ดีกว่าคาด จากปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่ง แรงซื้อกลับหลัง SET ปรับลดลงในเดือน พ.ค. (MTD) กว่า 5% จากการถูกลด PE Multiplier ของ ตลาด เพื่อสะท้อนผลของมาตรการทางการเงินของเฟด ทั้งการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการทํา QT ทําให้เกิดแรงซื้อกลับหุ้นในกลุ่ม ชิ้นส่วนฯ (+4.5%) หุ้นในปิโตรเคมี (+4.1%) และหุ้นในกลุ่มการเงิน (+3.6%) รวมไปถึงประเด็นที่ทางการจีนเตรียม ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เซียงไฮ้แบบค่อยเป็น ค่อยไป เริ่ม 1 มิ.ย. เราเชื่อว่า SET ในช่วงที่เหลือของเดือน พ.ค. ถึงต้นเดือน มิ.ย. ยังคงผันผวนใน ทิศทาง Sideway up โดยเราประเมินแนวต้านในกรอบ 1,630-1,645 จุด หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวในงานสัมมนา Future of Everything Festival เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า เฟดจะยังคง ดําเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงินต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อขะลอตัวลง ขณะที่การฟื้นตัว ของ SET ในรอบนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจาก
(1) การปรับลดประมาณการผลประกอบการ หลังการประชุม นักวิเคราะห์ คาดว่าจะเริ่มทยอย Update จากนี้ถึงต้นเดือน มิ.ย.
(2) สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่ยังมี ความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะท่าทีของรัสเซียต่อการที่ฟินแลนด์และสวีเดน ตอบรับการเข้าร่วมเป็น สมาชิกนาโต ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
(3) การดําเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะใน เดือน มิ.ย. ที่จะเริ่มทํา QT ที่ระดับ 47.5 พันล้านเหรียญต่อเดือน เป็นเดือนแรก แม้เราจะเชื่อว่าเฟดจะ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC ระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย. และ
(4) ภาวะเงินเฟ้อ สหรัฐฯ และทั่วโลก ที่ยังสูงต่อเนื่อง กลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นตั้งรับ และยังเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มที่ Laggard โดยเราเลือก CPF PTG SINGER AMATA และ BEM เป็นหุ้นเด่น โดยหุ้น Laggard play ที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นในกลุ่มอาหาร TUCPF และ TFG หุ้นในกลุ่มขนส่ง BEM และ PSL หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC GULF และ BGRIM หุ้นในกลุ่ม Oil Station PTG และ SUSCO หุ้นในกลุ่มสื่อสาร ADVANC หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม WHA และ AMATA กลุ่มค้าปลีก HMPRO และ CPALL (BK:CPALL) รวมไปถึงหุ้นใน Theme หลักเราให้น้ําหนัก เนื่องจากมีปัจจัยบวก เฉพาะตัว ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า เราเลือก EPG SMPC ASIAN TU GFPT TFG SAPPE และ MEGA หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เราเลือก BLA และ TIPH หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการ เปิดประเทศ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธุรกิจการบิน เราเลือก AOT (BK:AOT) BAFS ERW SHR หุ้นในกลุ่มขนส่งในประเทศ และ หุ้นในกลุ่ม Anti-Commodity เราเลือก PTG SUSCO 0SP CBG และ BJC เป็นหุ้นเด่น
• สศช. รายงาน GDP 1Q65 ขยายตัวดีกว่าคาด จากภาคการส่งออก และการท่องเที่ยว - สภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วง 1Q65 ขยายตัว 1.1%QoQ และขยายตัว 2.2%YoY มาจากภาคเกษตรที่ขยายตัว 4.19% และนอกภาคเกษตรที่ขยายตัวได้ 26 โดยการส่งออกยังขยายตัวได้มากถึง 12% ส่วนการนําเข้าขยายตัว 6.7% อุปโภคบริโภคของภาครัฐฯ ขยายตัว 4.69% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.9% ส่วนภาคโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวได้มากถึง 20 16 ตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น โดยในช่วง 1Q65 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากถึง 5 แสน คน มากกว่าจํานวนนักท่องเที่ยวรวมในปี 2564 จากผลของมาตรการการผ่อนคลายที่เพิ่มขึ้น และ สถานการณ์โควิตที่คลี่คลายลง อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในต่างประเทศ โดยเฉพาะ (1) สถานการณ์ความไม่แน่นอนระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจยืดเยื้อ และ (2) zero-coivd policy ของ ทางการจีน ที่เข้มข้น กระทบภาพรวมเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ทําให้ สศช. ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2565 ลงเหลือ 2596 - 3.59% (เดิม 3.5% - 4.56) ภายใต้สมมติฐาน ประมาณการค่าเงินบาทที่ 33 - 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาน้ํามัน อยู่ในกรอบ 95 - 105.5 เหรียญต่อบาร์เรล โดยการดําเนินนโยบาย ต้องให้ความสําคัญกับภาคการส่งออก การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเบิกจ่าย 95.26 รัฐวิสาหกิจ 7096 การ ลงทุนภาครัฐฯ การดําเนินนโยบายดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเข้ามาไทย ภายใต้มาตรการ LTR Visa (Long-term resident visa : ออกวีซ่าอายุ 10 ปี ให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมาย) ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการใช้มาตรการคนละครึ่งเฟส 5 หน่วยงานเศรษฐกิจอย่างกระทรวงการคลัง และ ธปท. ต้องหารือร่วมกันอย่างรอบคอบถึงความจําเป็น ทําให้หุ้นในกลุ่ม Re-opening ยังคงน่าสนใจ เรา เลือก AOT BAFS ERW SHR เป็นหุ้นเด่น รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางอ้อม ได้แก่ BEM PTG BH BDMS CPALL และ BJC
ปัจจัยทางเทคนิค - หุ้นแนะนํา © CPF (แนวต้าน 26.50-27.25 / แนวรับ 25.50-25.00 /Stop loss 23.70) G PTG (แนวต้าน 15.20-15.50 / แนวรับ 14.50-14.20 / Stop loss 13.60) @ BGRIM (แนวต้าน 34.75-36.50 / แนวรับ 32.50-31.75/Stop loss 29.75)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities