ยังมองภาพการดีดตัวกลับของ SET Index วานนี้ว่าเป็น Technical Rebound โดยในทาง Technical หากยังไม่ผ่านแนวต้าน 2 ด่านคือ 1631 จุด และ 1657 จุดขึ้นไปได้ ถือว่ายังไม่กลับไปสู่แนวโน้มขึ้น ขณะที่ในทางปัจัย พื้นฐาน แม้ระยะสั้นจะมีความผ่อนคลายจากตัวเลขกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ น่าจะจบ 1Q65 ช่วง 2.7 แสนล้านบาท ช่วยลด Downside ต่อประมาณการ ปี 2565 ขณะที่ตัวเลข GDP Growth 1Q65 ของบ้านเราออกมาสูงกว่าคาดที่ 2.2% แต่อย่างไรก็ตามยังมีแรงกดดันในภาพใหญ่คือ การเดินหน้าใช้นโยบาย การเงินตึงตัวของ Fed โดยอาจขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง + ลด ขนาดงบดุล ขณะที่ รัสเซีย-ยูเครน ยังมีความเสี่ยงเพิ่ม
SET Index ยังไม่ผ่านช่วงปรับฐาน กรอบการเคลื่อนไหว 1600 – 1631 จุด พอร์ตจำลองวานนี้Cut Loss หุ้น BLA ให้ซื้อ BLA กลับ น้ำหนัก 10% และ ให้นำเงิน 10% ซื้อ SAWAD หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), BLA และ SAWAD
ตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นในช่วงสั้น แต่ภาพระยะยาวยังดูน่ากังวล
แม้วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงกว่า 30 จุด หรือ 1.9% จาก GDP 1Q65 ของไทย โต 2.2%yoy ดีกว่าที่ตลาดคาดโตเพียง 1.7%yoy บวกกับกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q65 ที่ประกาศออกมาแล้วราว 93% พบว่าอยู่ที่ 2.71 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ อย่างไรก็ตามในระยะกลาง-ยาว ยังมีประเด็นกดดันอยู่ 2 ปัจจัย ดังนี้
สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังดูยืดเยื้อ แม้ล่าสุดสหภาพยุโรป หรืออียู ส่งสัญญาณ ว่าไม่ได้ห้ามบริษัทต่าง ๆ เปิดบัญชีกับธนาคารก๊าซพรอมแบงค์ของรัสเซียและ จะอนุญาตให้พวกเขาสามารถซื้อก๊าซต่อไปได้ โดยไม่ละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ของอียูอย่างไรก็ตามประเด็นที่สวีเดน – ฟินแลนด์เตรียมสมัครเข้าเป็นสมาชิก องค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ถือเป็นการดำเนินมาตรการไม่ เป็นมิตรต่อรัสเซีย และมีความเสี่ยงให้สงครามไม่คลี่คลายลงในเร็ววัน
การปรับขึ้นของดอกเบี้ย และการปรับลดขนาดงบดุล (QT) ของสหรัฐฯ นาย เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวเมื่อวันอังคารว่า สมาชิกเฟดได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อ้างอิงของเฟดอีก 0.5% ในการประชุมสองครั้งถัดไปเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ให้ได้โดยหากดูจาก FedWatch แล้วโอกาสที่จะปรับดอกเบี้ย 0.5% เพิ่มขึ้น จาก 10.9%(1 สัปดาห์ก่อนหน้า) ไปสู่ 14.2%(ล่าสุด) ขณะที่ประเด็นการปรับ ลดขนาดงบดุล (QT) ของสหรัฐฯจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 65 ในวงเงิน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน หลังจากนั้นในเดือน ก.ย. 65 Fed จะเพิ่มการลดขนาด งบดุลเป็น 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน
โดยรวมทั้ง 2 ปัจจัยความเสี่ยงยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และกดดัน สินทรัพย์เสี่ยงในช่วงถัดไป โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET index อยู่ที่ 1600-1631 จุด
GDP1Q65 โต 2.2%yoy ดีกว่าคาด หนุนตลาดฟื้นเร็ว หุ้นเปิดเมืองเด่น
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัวต่อเนื่อง เติบโต 2.2% yoy (ดีกว่าตลาดคาดเติบโต 1.7%yoy) และยังเพิ่มขึ้นจากงวด 4Q64 เติบโต 1.9%yoy เป็นผลจากภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติได้มากขึ้น พร้อมกับแรงหนุนจากมาตรการต่างๆของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ, การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดต่างๆ รวมทั้งในด้านการ เดินทางในประเทศและระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น หนุนเครื่องยนต์ต่างๆ ขยายตัว เพิ่มขึ้นทั้งหมด อาทิ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ 3.9% (เป็นการ เติบโตในส่วนของร้านอาหารและโรงแรม 29.1% การขนส่งเติบโต 4.2%), ค่าใช้จ่ายใน การอุปโภคภาครัฐขยายตัวได้ 4.6% และมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวได้ 12% เป็นต้น
สำหรับปี 2565 สภาพัฒน์ปรับลดคาดการณ์ GDP ลงเหลือ 2.5% – 3.5% จากเดิมที่ คาดไว้ 3.5% - 4.5% ถือว่าอยู่ในกรอบเดียวกับหลายๆ สำนักฯ
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ฝ่ายวิจัยฯ มองว่ายังมีอุปสรรคจากสินค้าที่ราคา แพงขึ้น มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐทยอยหมดลง เช่น คนละครึ่งเฟส 4 แต่คาดหวัง การฟื้นตัวจากการทยอยเปิดประเทศ ทั้งยกเลิกการตรวจ RT-PCR ต้นเดือน เม.ย. 65 ยกเลิก Test & Go ต้นเดือน พ.ค. 65 และรอดูการลดมาตรการควบคุมลงเป็น ระดับเหลือระดับ 2 ในช่วงปลายเดือน พ.ค. 65 ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้น เปิดเมือง แนะนำ AOT, MINT, CRC, CPALL (BK:CPALL), BEM, AAV เป็นต้น
ครม.ลดภาษีดีเซล 5 บาท/ลิตร นาน 2 เดือน กระแสบวกหุ้นขนส่ง WICE III JWD
ครม.เห็นชอบขยายมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาท/ลิตร โดยเริ่มตั้งแต่ 21 พ.ค.-20 ก.ค.65 เป็นเวลา 2 เดือน จากนั้นจะพิจารณาต่ออีกทุกๆ 2 เดือน (เดิมลด 3 บาท/ลิตร จะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 พ.ค.นี้) การขยายมาตรการลดภาษีในครั้งนี้ คาด ว่าจะกระทบต่อรายได้ของรัฐประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนต่อ ประชาชนและภาคเศรษฐกิจมากที่สุด โดยภาพรวมถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มขนส่งอย่าง WICE III JWD แต่ หากพิจารณาในมุมของภาพรวมเศรษฐกิจอาจเติบโตช้าลง เนื่องจากประสบปัญหา วัตถุดิบราคาแพงยืดเยื้อ ทำให้รัฐยังต้องคอยออกมาตการเยียวยาอยู่ จึงเหลือเม็ดเงิน อัดฉีดในภาคกานลงทุนส่วนอื่นๆ น้อยลง
ค้นหาหุ้นพื้นฐาน ราคา Laggard มีโอกาสฟื้นแรงกว่าตลาด
วานนี้ตลาดหุ้นไทยมีการรีบาวน์กลับมาแรง +30.11 จุด หรือ +1.9% มาอยู่ที่ 1614.49 จุด หลังจากผันผวนและปรับฐานมาตลอด 1 เดือนเศษๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากตัวเลข GDP1Q65 เติบโต 2.2%yoy (มากกว่าตลาดคาด) รวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q65 ออกมาอยู่ในระดับที่ดีล่าสุดอยู่ที่ 2.7 แสนล้านบาท (ประกาศมาแล้ว 93% ของ Market Cap) อย่างไรก็ตามแนวโน้มในช่วงต่อจากนี้ตลาดยังต้องเผชิญกับ 2 ปัจจัยเสี่ยง สำคัญภายนอก ทั้งการทยอยใช้นโยบายการเงินตึงตัวของ Fed ที่เข้มข้นขึ้น และปัญหา ความขัดแย้งรัสเซียกับ NATO ที่ยังยืดเยื้อ กดดันให้ตลาดยังอยู่ในภาวะผันผวนได้
แม้ SET Index จะรีบาวน์กลับมาบ้าง แต่ยังมีหุ้นพื้นฐานอีกหลายบริษัทที่ปรับตัวลงไป ลึกกว่าและยังน่าสะสมอยู่ ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯจึงทำการค้นหา “หุ้นพื้นฐาน ราคา Laggard ตลาด แรงกดดันจากสัญญาฟิวเจอร์สลดลง แต่มีโอกาสฟื้นแรง” โดยผ่าน เงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
1. หุ้นปรับฐานลงมาลึกกว่าตลาด ในช่วงตลาดลงแรง (ผลตอบแทนของหุ้น น้อยกว่าผลตอบแทนของ SET ในช่วงเวลา 5 เม.ย. – 17 พ.ค.)
2. ระดับการชอร์ตสัญญาฟิวเจอร์ลดลง (ระดับ OI ลดลง ในช่วงเวลา 5 เม.ย. –17 พ.ค.)
3. มีโอกาสฟื้นเร็วกว่าตลาด (Beta >1)
4. พื้นฐานดี (ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ “ซื้อ” และ มี Upside)
ส่วนวันนี้คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1600 – 1630 จุด หุ้นเด่นเลือกหุ้น Laggard มีโอกาสฟื้นแรง SAWAD, BLA และหุ้นเปิดเมืองอย่าง AOT เป็น Toppick
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities