ท่ามกลางการเทขายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในวงกว้าง นักลงทุนจะมองหาสัญญาณความแข็งแกร่ง ของบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุด จากรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่จะมาถึงในสัปดาห์นี้ เมื่อวันศุกร์ผ่านมา หุ้นบนดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงทั้งกระดาน นับเป็นขาลงภายในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากการระบาด นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าตลาดลงทุนมีความกังวลต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และผลกำไรของบริษัท
ในสัปดาห์นี้ บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีกำหนดการ ที่จะเปิดเผยตัวเลขรายได้ล่าสุด พร้อมกับการคาดการณ์แนวโน้มสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ บริษัทชื่อดังเหล่านั้นล้วนแต่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น Apple (NASDAQ:AAPL), Microsoft (NASDAQ:MSFT) และ Boeing (NYSE:BA) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจสายการบิน
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวในงานประชุมคณะกรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่าเฟดไม่สามารถพอใจกับตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในตอนนี้ได้ เขาเชื่อว่าว่านโยบายการเงินที่ตึงตัวยิ่งขึ้นอาจเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม เขากล่าวว่า "จำเป็นอย่างยิ่ง" ที่ธนาคารกลางทุกแห่งจะช่วยกันรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลก
ในช่วงสัปดาห์ที่สำคัญนี้สำหรับการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2022 ด้านล่างนี้คือหุ้นยักษ์ใหญ่สามตัว ที่เราเชื่อว่าควรจะติดตามรายงานผลประกอบการอย่างใกล้ชิด
1. Meta Platforms
บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) นามเมต้าแพลตฟอร์ม (NASDAQ:FB) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2022 ในวันพุธที่ 27 เมษายนหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดทำการ นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เฟซบุ๊กจะสามารถทำกำไรได้ $28,320 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.56
บริษัทเมต้ายอมรับด้วยตัวเองว่าตอนนี้อัตราการเติบโตด้านรายได้กำลังลดลงจากจำนวนยอดผู้ใช้งานรายวันที่ลดลง ข่าวนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเป็นสาเหตุของขาลงที่กำลังเกิดขึ้นกับหุ้นบริษัทเมต้า ด้วยเหตุนี้เอง บริษัทจึงคาดการณ์ว่าการเติบโตของรายได้ในปีนี้อาจจะหดตัวลดลง ผู้บริโภคกำลังลดการใช้งานเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และวอทแอป มากขึ้นเรื่อยๆ และเงินเฟ้อก็มีส่วนทำให้บริษัทฝากโฆษณาลดงบในการฝากโฆษณากับเฟซบุ๊กลง
นอกจากปัจจัยเชิงลบเหล่านี้ เมต้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาที่บริษัทแอปเปิลเปลี่ยนนโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานได้ การเปลี่ยนนโยบายให้รักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานมากขึ้นทำให้เฟซบุ๊กไม่สามารถยิงโฆษณาไปยังผู้บริโภคได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายอย่างเช่นแต่ก่อน ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นเมต้าปรับตัวลดลงมาแล้วมากกว่า 45% มีราคาซื้อชายหุ้นล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้วอยู่ที่ $184.11
2. Apple
บริษัทเจ้าของโทรศัพท์มือถือชื่อดัง “iPhone” จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ในวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์เชื่อว่าในไตรมาสนี้บริษัทแอปเปิลจะสามารถทำกำไรได้ $94,150 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.43
สิ่งที่นักลงทุนต้องการจะเห็นในรายงานผลประกอบการของบริษัทแอปเปิลคือความสามารถในการสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาทันตามความต้องการของลูกค้า ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ซัพพลายเชนขาดแคลน และการระบาดของโควิดในจีนจนทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์
ในไตรมาสที่แล้ว แอปเปิลสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านไปได้ ด้วยตัวเลขยอดขายในเดือนมกราคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11% คิดเป็นกำไรสูงสุดที่ $123,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ ตอนนั้นแอปเปิลเคยคาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาสของเดือนมีนาคมจะสามารถขึ้นแตะตัวเลขสองหลักได้ อย่างไรก็ตามในปีนี้ หุ้นแอปเปิลปรับตัวลดลงมาแล้ว 9% มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $161.79 ได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และเงินเฟ้อ
3. Amazon
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2022 ในวันพฤหัสบดีหลังจากตลาดหลักทรัพย์ปิดเช่นเดียวกันกับแอปเปิล นักวิเคราะห์เชื่อว่าไตรมาสนี้แอมาซอนจะสามารถทำกำไรได้ $116,460 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $8.37
แม้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจัยจะเสี่ยงต่อกำไรที่ลดลงจากความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค แต่ธุรกิจอย่างเช่นการฝากโฆษณา และคลาวด์แพลตฟอร์มอย่าง AWS กลับเป็นตัวช่วยที่สามารถขับเคลื่อนบริษัทให้ไปต่อได้
ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดของแอมาซอน พวกเขายอมรับว่าเงินเฟ้อได้สร้างผลกระทบให้กับร้านค้าแม้ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์ก็ลดลง แต่เพราะการกระจายแหล่งผลิตรายได้ไปยังธุรกิจคลาวด์ และการฝากโฆษณาคือสิ่งที่ช่วยบริษัทให้สามารถทำกำไรเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ในครั้งที่แล้วมาได้ อย่างไรก็ตาม ปีนี้ราคาหุ้นแอมาซอนปรับตัวลดลงมาแล้ว 13% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวานนี้อยู่ืั้ $2,887