หุ้นวอลล์สตรีทอยู่ภายใต้แรงกดดันมาหลายเดือนแล้ว ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนที่ควรจะได้ ในช่วงเวลาที่เหลือของปี ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบันดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลงประมาณ 6.4% ในขณะที่ดัชนีแนสแด็กปรับลด 11.5% ขาลงระลอกนี้บอกถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนเทรนด์ จากขาขึ้นในปี 2021 เป็นขาลงในปี 2022
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นสัปดาห์ที่สดใสของตลาดหุ้นอเมริกา หุ้นกลุ่มเติบโตหลายตัวที่เคยได้รับแรงกดดันสามารถปิดบวกได้อย่างงดงาม สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือนักลงทุนหลายคนเริ่มกลับมาหาจังวะเข้าซื้อเพื่อเป็นเจ้าของหุ้นอีกครั้ง และหนึ่งในทางเลือกนั้นคือการลงทุนกับกองทุน ETF ที่อ้างอิงราคากับดัชนีหลักๆ ของสหรัฐอเมริกา ยกตัวอย่างเช่น
- SPDR® Dow Jones Industrial Average ETF Trust (NYSE:DIA) เป็นกองทุนที่อ้างอิงราคาตามดัชนีดาวโจนส์
- SPDR® S&P 500 (NYSE:SPY) อ้างอิงราคาตามดัชนีเอสแอนด์พี 500
- Invesco QQQ Trust (NASDAQ:QQQ) อ้างอิงราคาตามดัชนีแนสแด็ก 100
ในบทความนี้เราจะมาแนะนำกองทุน ETF ที่อาจเป็นตัวเลือกสำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะกลับไปเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
American Century Focused Dynamic Growth ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $69.91
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $61.88 - $89.96
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.45% ต่อปี
ถึงแม้ว่านักลงทุนหลายคนจะเชื่อว่าปีนี้ขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้จบแล้ว เมื่อธนาคารกลางตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่นักลงทุนบางคนกลับมองว่าขาลงในปัจจุบันคือโอกาสลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโต กองทุนที่เรามาแนะนำสำหรับคนที่พร้อมจะเสี่ยงคือ American Century Focused Dynamic Growth ETF (NYSE:FDG) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทขนาดกลาง-ใหญ่ (วัดจากมูลค่าราคาตลาด) ที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงด้านหารทำกำไร และมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน
บริษัทที่ FDG เลือกลงทุนล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำในกลุ่มของเขา FDG เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคมปี 2020 มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมด $166.1 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้กองทุน FDG ยังเป็นกองทุนประเภท (ANT) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเผิดเผยข้อมูล แต่ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการจาก กลต. ของสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2019
โดยทั่วไปแล้ว กองทุน ETF ส่วนใหญ่จะเปิดเผยข้อมูลการถือครองหุ้นบริษัทในแต่ละวัน แต่จะมีกองทุนอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยทุกวัน แต่สามารถเปิดเผยรายไตรมาสได้ อ้างอิงข้อมูลจากวันที่ 31 ธันวาคม 2021 หุ้น 10 อันดับแรกที่ FDG ถือครองคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของน้ำหนักหุ้นในพอร์ตทั้งหมด สามในสี่ของหุ้นในมือ FDG เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (22%) กลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (14%) และกลุ่มเฮลท์แคร์ (11%)
หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Tesla (NASDAQ:TSLA) Amazon (NASDAQ:AMZN) Alphabet (NASDAQ:GOOGL) Okta (NASDAQ:OKTA) Constellation Brands (NYSE:STZ) Bill.Com Holdings (NYSE:BILL) Visa (NYSE:V) และ Mastercard (NYSE:MA)
ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของกองทุน FDG ปรับตัวลดลงมาแล้ว 13.7% แต่ถ้าวัดผลการดำเนินงานตลอด 12 เดือนล่าสุดจะพบว่ากองทุนนี้ปรับตัวลดลงมาทั้งหมด 5 % สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2021 มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 48.05x และ 13.54x ตามลำดับ แม้เราจะเชื่อว่า VUGA จะคงอยู่กับตลาดลงทุนไปจนถึงอย่างน้อยเมษายน แต่นักลงทุนระยะยาวสามารถพิจารณาเข้าซื้อ FDG ตอนนี้ได้เลย