Investment Ideas:
ภาพรวมการลงทุน - เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,635-1,665 จุด เราคาดว่า SET จะ ผันผวนในกรอบ Sideway ถึง Sideway dQwn จากความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย ทั้ง (1) สถานการณ์ ยูเครน-รัสเซีย ที่ยังไม่มีสัญญาณเชิงบวกเพิ่มเติมจากการเจรจารอบล่าสุด (2) ความผันผวนของราคา Commodity ในตลาดโลก โดยเฉพาะราคาน้ํามันดิบ และ (3) การรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่ม และมีโอกาสปรับเพิ่มต่อเนื่องในเดือน มี.ค. ก่อนการประชุมเฟด, 15-16 มี.ค. เพิ่มน้ําหนักต่อการที่เฟดจะ ปรับเพิ่มอัตราดอกบีย 0.5% (ก่อนหน้านี้ตลาดกลับมาให้น้ําหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25%) สะท้อนจาก US Bond Yield 10 ปี และ 2 ปี ปรับเพิ่มอย่างมีนัยสําคัญ กลยุทธ์การลงทุน เรา ให้น้ําหนัก หุ้นที่มีความน่าสนใจในเชิง Valuation ได้แก่ หุ้นในกลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่ม รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ KBANK (BK:KBANK) SCB BBL LH OH ORI MINT SHR และ AOT (BK:AOT) รวม ไปถึงหุ้นในกลุ่ม Defensive ที่ส่วนมากจะเป็น Domestic Play ได้แก่ BH BDMS INTUCH ADVANC BEM HMPRO CPALL (BK:CPALL) และ MAKRO Trading Ideas: หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวน่าสนใจ จากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เลือก AOT MINT SHR เป็นหุ้นเด่น - เรามีมุมมองเป็นบวกหลังภาครัฐฯ เตรียมประกาศไวรัสโควิด-19 เป็นโรคประจํา ถิ่น เริ่ม 1 ก.ค. 2565 แผนการดําเนินงานเพื่อการทําให้ไวรัสโควิด-19 เข้าสู่โรคประจําถิ่น คณะกรรมการ โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผน Endemic approach โดยแบ่งออกเป็น 4 เดือน ดังนี้ ระยะที่ 1 (12 มี.ค. ถึงต้นเดือน เม.ย.) เรียกว่า Combatting จํานวนผู้ติดเชื้อไม่ให้สูงกว่านี้ ลดการระบาด ลดความรุนแรง และมี การดําเนินการให้กักตัวลดลง ระยะที่ 2 (เม.ย. ถึง พ.ค.) เรียกว่า Plateau คือ คงระดับผู้ติดเชื่อไม่ให้สูงขึ้น ระยะที่ 3 (ปลาย พ.ค. ถึง 30 มิ.ย.) เรียกว่า Declining ลดจํานวนผู้ติดเชื้อลงเหลือ 1-2 พันราย และระยะที่ 4 เริ่ม 1 ก.ค. เป็นต้นไป เรียกว่า Post pandemic คือ ออกจากโรคระบาดเข้าสู่โรคประจําถิ่น ประกอบกับ มาตรการที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งการทยอยเปิดประเทศมาตั้งแต่ พ.ย. และการกลับมาใช้มาตรการ Test and Go เริ่ม 1 ก.พ. เรามองเป็นบวกต่อภาพรวมการท่องเที่ยวของไทย หุ้นที่ได้ประโยชน์ทางตรง เรามองเป็นบวก กับหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ได้แก่ (1) หุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการบิน (Aviation Business) ได้แก่ AOT BAFS AAy BA และ (2) หุ้นในกลุ่มธุรกิจโรงแรม (Hotel Business) ได้แก่ MINT ERW CENTEL และ SHR นอกจากนี้ยังมีหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจาก (1) หุ้นในกลุ่มขนส่งในประเทศ หุ้นในกลุ่มสื่อ หุ้นใน กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และหุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศ ได้แก่ BEM BEC ONEE BJC CRC CPALL OSP CBG MAKRO wa HMPRO
เงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ก.พ. 65 ปรับเพิ่ม 7.99%YoY ยังไม่สะท้อนราคาน้ํามันที่เร่งตัวขึ้น ทําให้มีโอกาสเห็นเงิน เฟ้อปรับเพิ่มต่อเนื่อง ในเดือน มี.ค. 65 - กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็น มาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 0.89%MoM และเพิ่มขึ้น 7.9%YoY สูงสุด นับตั้งแต่ ม.ค. 2525 และสูงกว่าที่ Market Consensus คาดไว้เล็กน้อยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.476MQM. และเพิ่มขึ้น 7.8%YoY ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐาน (ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน) เดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 0.5%MoM และเพิ่มขึ้น 6.4%YoY เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ส.ค. 2525 สอดคล้องกับที่ Market Consensus ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เราประเมินว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังเป็นขาขึ้น (CPI ปรับเพิ่ม MoM จากเดือน ม.ค. ที่ 0.6% เป็น 0.8% ในเดือน ก.พ.) และมีโอกาสปรับเพิ่มต่อเนื่องในเดือน มี.ค. เนื่องจาก รายงาน CPI และ Core CPI ในเดือน ก.พ. 65 ยังไม่รวมผลจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ํามันดิบ โดย WTI เดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 116MTD โดยในระหว่างเดือน มี.ค. ราคาน้ํามันดิบขึ้นไปทําจุดสูงสุดที่ 133.46 เหรียญ ต่อบาร์เรล ทําให้ตลาดกลับมากังวลต่อการประชุม FOMC ที่จะเกิดขึ้นสัปดาห์หน้า (15-16 มี.ค.) โดยก่อน หน้านี้ Market Consensus ปรับลดการคาดหมายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.5% เหลือ 0.25% การเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ กลับมาสร้างความกังวลต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสียง จากการ คาดหมายว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเร่ง อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมองว่าเฟดจะปรับ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม March meeting เพียง 0.25% ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณยุติ QE เร็วกว่าคาด - ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในยูเครน โดยมีมติคงอัตราดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% รวมไปถึงคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25% นอกจากนี้ ECB ยังระบุว่าจะยุติโครงการซื้อพันธบัตรตาม มาตรการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) วงเงิน 1.85 ล้านล้านยูโร ภายใน สิ้นเดือน มี.ค. 65 และจะลดการซื้อพันธบัตรภายใต้โครงการ Asset Purchase Programme (APP) สู่ระดับ 4 หมื่นล้านยูโร ในเดือน เม.ย. ขณะที่เดือน พ.ค. และ มิ.ย. จะเหลือเพียง 3 หมื่นล้านยูโร และ 2 หมื่นล้าน ยูโร ตามลําดับ ส่วนการซื้อพันธบัตรหลังจากเดือน มิ.ย. จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ แต่ ECB คาดว่า โครงการ APP จะสิ้นสุดได้ในช่วง 3Q65 ซึ่งเราคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในช่วง 3Q65 หลังยุติ โครงการซื้อพันธบัตร เพื่อลดผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มในอัตราเร่ง
โดยเดือน ก.พ. 65 ECB รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5.8% สูงกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ระดับ 2% - มุมมองทางเทคนิค - หุ้นแนะนําปัจจัยทางเทคนิค เราเลือก BCP BDMS และ ILM
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities