การถือกำเนิดขึ้นของบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลได้ทำให้คำว่า ‘โทเค็น (Token)’ มีนิยามที่เปลี่ยนไปจากเดิม ก่อนหน้าที่จะมีสกุลเงินดิจิทัลโทเค็นเคยมีความหมายเป็นเพียงคำว่าเครื่องหมาย เหรียญ เบี้ย ของที่ระลึก แต่ถ้าวันนี้เราค้นหาคำว่า โทเค็น ในเสิร์ชเอ็นจิ้น เราจะพบแต่ความหมายที่เป็นคำเหมือนของสกุลเงินดิจิทัลทั้งสิ้น
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า วิวัฒนาการของการปฏิวัติฟินเทค ที่เป็นหัวหอกในการยกเครื่องระบบการเงินแบบเก่า จะทำให้เกิดการแปลงโทเค็นให้เป็นเครื่องมือแห่งประสิทธิภาพในตลาดต่างๆ ที่ต้องการการอัปเกรด ในขณะที่ผู้คนทุกวันนี้เอาแต่พูดถึงคอยน์ต่างๆ แต่ความน่าสนใจในแง่ของการพัฒนากลับอยู่ที่ระบบบล็อกเชน และการสร้างตัวแทนของทรัพย์สินต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ด้วยการสร้างเหรียญโทเค็น (Tokenization) เพราะนี่คือสิ่งที่จะปฏิวัติวงการการเงิน และยกระดับของสินทรัพย์ขึ้นในอนาคต
บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับการยอมรับในอนาคต และจะเป็นจิ๊กซอว์ที่เข้ามาปรับปรุงการป้องกันความเสี่ยง การค้าขาย และการลงทุนสำหรับผู้ผลิต ผู้บริโภค นักลงทุน และนักเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สำหรับผม บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่การถือกำเนิดของฟิวเจอร์สและตราสารอนุพันธ์ขึ้นมาบนโลก
ในบทความนี้เราจะข้ามเรื่องของสิ่งที่บล็อกเชนทำให้บิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ อีก 17,350 เหรียญไปก่อน เพราะนั่นถือเป็นสิ่งที่พูดถึงมาบ่อยมากแล้ว อันที่จริงบล็อกเชนนั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงการใช้งานร่วมกับสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้รวมกับธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเงินได้ด้วย
คริปโตฯ ต้องเผชิญกับภาษี ข้อจำกัดทางกฎหมาย และการควบคุมอีกมากมาย
หน่วยงานกำกับดูแลมีท่าทีที่เข้มงวดมากขึ้นต่อสกุลเงินดิจิทัล เมื่อเร็ว ๆ นี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้เตือนเอลซัลวาดอร์ให้ยกเลิกนโยบายรับซื้อบิทคอยน์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รัฐบาลรัสเซียและจีนได้พยายามแบนบิทคอยน์ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ภายในประเทศของตน
ฝ่ายบริหารของโจ ไบเดน กำลังพัฒนากลยุทธ์ด้านหลักทรัพย์ดิจิทัล และมีแนวโน้มที่จะออกคำสั่งผ่าน คำสั่งของฝ่ายบริหาร ที่ไม่ต้องผ่านสภาคองเกรส นโยบายจะใช้การจัดเก็บภาษีและกฎระเบียบเพื่อควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล ข้ออ้างที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดการและควบคุมคือข้อกำหนดด้านพลังงานสำหรับการขุด บิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ พลังงานจำนวนมากที่ต้องใช้ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งในแง่ของการผลิตการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน
จากข้อความข้างต้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากรัฐบาลจะมองว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นภัยต่อความมั่นคง เพราะแต่ไหนแต่ไร เรื่องการเงินก็เป็นฐานอำนาจและเป็นเสภียรภาพอย่างหนึ่งของรัฐบาล เพราะภาครัฐสามารถควบคุมประชาชนผ่านเงินที่พวกเขาอนุมัติให้ใช้ภายในประเทศ การทำเช่นนั้นอาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องสะดวกในมือของของทั้งภาครัฐและผู้ใช้งาน แต่รู้หรือไม่ว่าภาครัฐสามารถยึดเงินของคุณได้ทันที หากพวกเขามีเหตุผล (ในมุมของพวกเขา) ให้ทำเช่นนั้น และคริปโตฯ ที่ต้องการจะมอบอำนาจทางการเงินให้กลับไปอยู่ในมือของประชาชนคือความท้าทายอำนาจรัฐเป็นอย่างยิ่ง
บล็อกเชนคือทางออกที่ทุกฝ่ายยอมรับ และเป็นการปฏวัติวงการฟินเทคฯ
เพราะว่าบล็อกเชนคือการนำข้อมูลมาบันทึกเข้ารหัสต่อกันเป็นบล็อก ยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ระบบไหนที่พยายามเลียนแบบบล็อกเชนนั้นๆ ก็จะสามารถถูกตรวจสอบได้ง่ายว่าเป็นของปลอมเพราะมีตัวบล็อกที่ยาวกว่า นอกจากการใช้งานเป็นตัวบันทึกข้อมูลธุรกรรมการเงินของสกุลเงินดิจิทัล บล็อกเชนยังสามารถถูกนำมาเก็บข้อมูลให้กับการทำงานต่อไปนี้ได้ด้วย
- การแลกเปลี่ยนสกุลเงิน
- การทำธุรกรรมทางการเงิน
- การให้ยืมและการกู้ยืม
- การประกันภัย
- กรรมสิทธิ์และการโอนอสังหาริมทรัพย์
- การรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล
- การโหวตเลือกตั้งได้อย่างปลอดภัย
- การรับประโยชน์จากโครงการของรัฐบาล
- การควบคุมค่าลิขสิทธิ์
- การสร้างโทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้
- การเก็บข้อมูลในวงการโลจิสติกส์
- การรักษาความปลอดภัยอินเทอร์เน็ต
- การเก็บข้อมูล
- การพนัน
เนื่องจากเทคโนโลยีบล็อกเชนได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น แอปพลิเคชันจึงมีแนวโน้มที่จะขยายไปยังวงการอื่นๆ เพิ่มเติม แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับอนาคตของสกุลเงินดิจิทัล แต่ก็มีการยอมรับในวงกว้างว่าบล็อกเชนจะเป็นการปฏิวัติและสะท้อนถึงความก้าวหน้าของฟินเทค
โทเค็นที่เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ และเป็นวิธีที่โปร่งใสในการติดตามแต่ละเชน ความเป็นเจ้าของตั้งแต่การผลิตหรือการสร้างไปจนถึงการใช้บล็อกเชนสามารถบันทึกข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับสินทรัพย์และความเป็นเจ้าของที่แตกต่างไปตามความต้องการของแต่ละบุคคลได้
บล็อกเชนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม และโทเค็นสามารถขยายตลาด ที่สามารถระบุตำแหน่งของสินทรัพย์และสินค้าจำนวนมากได้ สร้างความสามารถในการใช้แทนกันได้ และความสามารถในการแทนที่หรือถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่นที่มีมูลค่าเหมือนหรือใกล้กัน
หุ้นของบริษัทแต่ละหุ้นมีมูลค่าและลักษณะเหมือนกัน และการทำ Tokenization สามารถส่งเสริมประสิทธิภาพในตลาดสินทรัพย์ทุกประเภท สินค้าโภคภัณฑ์เป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพ และน่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับการสร้างโทเค็น เนื่องจากโทเค็นที่เป็นตัวแทนของวัตถุ คือการลงทุนโดยตรงในรายการสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ในขณะที่ฟิวเจอร์ส ออปชั่น และรูปแบบอื่นๆ ต้องแสดงความเป็นเจ้าของผ่านเอกสาร ที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกขโมยหรือทำลายทิ้งได้
เหตุผล 3 ประการว่าทำไมเทคโนโลยีบล็อกเชนถึงเหมาะกับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงเป็นที่นิยมเรื่อยมา การถือกำเนิดขึ้นของบล็แกเชนจะยิ่งทำให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะ tokenization จะเข้ามาทำลายข้อจำกัดของสินค้าโภคภัณฑ์ดังต่อไปนี้
การสร้างสภาพคล่อง - การสร้างโทเค็นเก็บข้อมูลของสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละชิ้นจะช่วยลดความยุ่งยากในการขนส่ง
เพิ่มความสามารถในการหาได้ง่าย - เมื่อลดความยุ่งยากในการขนส่งลงไปแล้ว การที่นักลงทุนจะเรียกทองคำของตนที่มีรหัสเดียวกันกับโทเค็นในมือก็จะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
บันทึกข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ - การเก็บข้อมูลที่ไม่มีวันปลอมแปลงได้ ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสินค้าโภคภัณพ์ที่สามารถใช้เก็บเพิ่มสะสมมูลค่า
Atomyze เป็นบริษัทเอกชนที่น่าจับตามอง พวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่เผยแพร่ประโยชน์ของบล็แกเชน ผ่านธุรกิจแบบดั้งเดิมและประเภทสินทรัพย์ อ้างอิงจากการให้สัมภาษณ์ของ CEO Jeanine Hightower-Sellitto บริษัทที่กำลังทำงานอย่างหนักในการสร้างฝันทั้งสามข้อนี้ให้กลายเป็นจริงขึ้นมาให้ได้
บล็อกเชนไม่เพียงแต่เพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการบันทึกข้อมูลเท่านั้น แต่ยังขยายตลาดที่สามารถระบุตำแหน่งได้สำหรับสินทรัพย์จำนวนมาก และสินค้าโภคภัณฑ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น การแปลงข้อมูลสินค้าโภคภัณฑ์เป็นโทเค็น และการปรับปรุงระบบให้สามารถเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีบล็อคเชนได้ จะทำให้ Tokenization กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ มากกว่าการไปงัดข้อกับรัฐบาลให้ยอมรับสกุลเงินดิจิทัล