เหตุการณ์ที่สร้างเสียงฮือฮาได้มากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้วคงหนีไม้พ้นขาลง 27% ของหุ้นบริษัทเมต้าแพลตฟอร์ม (NASDAQ:FB) หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในนามของเฟซบุ๊ก รายงานผลประกอบการที่ก่อให้เกิดขาลง 27% นั้นได้ส่งสัญญาณไปยังนักลงทุนในตลาดว่าตอนนี้ บริษัทแห่งนี้ ไม่ถูกจัดว่าให้อยู่ในหุ้นกลุ่มเติบโตอีกต่อไป การรายงานผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับตลาดลงทุนได้ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทเมต้าหายไปประมาณ $251,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
การร่วงลงครั้งนี้ของหุ้นเฟซบุ๊กถือว่าสำคัญ นอกจากจะกลายเป็นขาลงครั้งประวัติศาสตร์ของหุ้นเฟซบุ๊ก แต่ยังได้ทำสถิติเป็นหนึ่งวันที่ตลาดหุ้นอเมริกาโดนฉุดให้ร่วงลงมากที่สุดครั้งหนึ่งอีกด้วย แม้จะมีนักวิเคราะห์หลายคนพยายามเข้าข้างเมต้าว่างขาลงครั้งนี้เป็นการย่อครั้งใหญ่เพื่อเตรียมตัวสู่การทำขาขึ้นครั้งใหญ่ในอนาคต แต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆ เนื่องจากมีหลักฐานระบุว่าเมต้ากำลังเผชิญกับมรสุมใหญ่
หากนับรวมขาลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเข้าไปด้วย หุ้นเมต้าในปี 2022 ร่วงลงมาแล้วประมาณ 30% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $237.09 ทำให้ดัชนีหลักอย่างแนสแด็ก 100 ต้องปรับตัวลงไปเพราะเมต้า 10% การที่ยอดผู้ใช้งานของเฟซบุ๊กหยุดเติบโต สร้างผลกระทบหลายอย่างต่อตลาดหุ้น ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุด บริษัทเฟซบุ๊กได้ออกมายอมรับเองว่ายอดผู้ใช้งานทั่วโลกรายวัน (DAU) ลดลงจากไตรมาสสี่ปีแล้ว 1 ล้านคน จาก 1,930 ล้านคนเป็น 1,929 ล้านคน
บริษัทเมต้าคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของรายได้จะชะลอตัวเนื่องจากผู้ใช้งานลดเวลาใช้บริการต่างๆ ของบริษัทลง เมต้าโทษว่าความเลวร้ายนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินเฟ้อ ที่ทำให้บริษัทขนาดเล็กมีงบสำหรับการฝากโฆษณาลดลง
แต่หลักๆ แล้วเมต้าโทษว่าเป็นเพราะนโยบายความเป็นส่วนตัวใหม่ของระบบปฏิบัติการ iOS ของบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ที่สร้างความยุ่งยากให้กับการยิงโฆษณาไปยังผู้บริโภคอย่างแม่นยำ ซึ่งเราก็ล้วนทราบกันดีว่าเฟซบุ๊กเป็นบริษัทที่พึ่งพารายได้จากการฝากโฆษณาเป็นหลัก คาดว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้จะทำให้เมต้าเสียรายได้ในปีนี้ประมาณ $10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
การแข่งขันในโลกโซเชียลที่ดุเดือดมากขึ้น
ในยุคที่โซเชียลมีเดียไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมนุษยชาติอีกต่อไป การถือกำเนิดขึ้นของโซเชียลแพลตฟอร์มใหม่ๆ ก็ยิ่งมีแต่จะสร้างความปวดหัวให้กับผู้ที่อยู่มานาน มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก CEO ของบริษัทเมต้าบอกกับนักลงทุนว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทหยุดเติบโตเป็นเพราะคู่แข่งใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอปพลิเคชันวิดีโอสั้นยอดนิยมอย่าง ‘ติ๊กตอก’ (TikTok)
นักวิเคราะห์มองว่ายังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นอุปวรรคในการเติบโตของเมต้าคือการสร้างโลกเมต้าเวิร์ส ที่ทำให้บริษัทต้องลงทุนมหาศาลไปกับการสร้างโปรเจ็คที่ไม่สามารถการันตีอะไรได้ เฉพาะในปี 2021 บริษัทเมต้าลงทุนกับเรื่อง AR/VR ไปแล้ว $10,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ธนาคาร กองทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนมากมายได้ปรับลดระดับความน่าสนใจของหุ้นเมต้าลง ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Argus Research ที่ลดระดับจากแนะนำให้ “ซื้อ” ลงมาเป็น “ถือ” ที่มีอยู่เดิมเอาไว้ก่อน พวกเขาให้เหตุผลกับการตัดสินใจครั้งนี้ว่า
“ผลประกอบการไตรมาส 4 ของเมต้าค่อนข้างน่าผิดหวัง จนนำไปสู่การลดระดับความน่าเชื่อถือของเรา แม้จะเกิดการโต้เถียงในหลายๆ ประเด็นของหุ้นเมต้ากันบ่อยครั้ง แต่ทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับความจริงว่าบริษัทก็ประสบปัญหามากมายในปี 2022 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขัน และแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการติดตามโฆษณาใหม่ของบริษัทแอปเปิล”
ถึงแม้ว่าภาพรวมทุกอย่างในตอนนี้สำหรับหุ้นเมต้าจะดูเลวร้ายไปหมด แต่ส่วนตัวแล้วเราเชื่อว่ามาร์ค ซักเกอร์เบิร์กมีศักยภาพมากพอที่จะเปลี่ยนกระแสลมต้านให้เป็นลมส่งได้ ในวันรายงานผลประกอบการ มาร์คบอกกับนักลงทุนว่าโอกาสที่บริษัทจะสามารถเข้าใกล้วัยรุ่นยุคใหม่ได้มากที่สุดตอนนี้อยู่ที่ Reel ของแอปพลิเคชันอินสตาแกรม บริษัทจะเร่งลงมือพัฒนา Reel อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมไปถึงการลงทุนระยะยาวกับเมต้าเวิร์สด้วย
และหากจะพิจารณาสถานการณ์ของเฟซบุ๊กให้ยุติธรรมที่สุด นี่ไม่ใช่ขาลงครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัท ในปี 2018 หุ้นเฟซบุ๊กเคยร่วงลงไป 19% กลายเป็นข่าวใหญ่ในช่วงเวลานั้นอยู่เช่นกัน และก็ถูกบันทึกว่าเป็นสถิติขาลงที่มากที่สุดของบริษัท ก่อนที่จะมาถูกทำลายสถิติกับขาลง 27% ครั้งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นสามปีคือหุ้นเฟซบุ๊กสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ มอบผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือครองได้มากถึงสองเท่า
โดยสรุปแล้ว
ขาลง 27% ของหุ้นเมต้าแพลตฟอร์มคือตัวบ่งชี้ว่าตลาดลงทุนมีความคาดหวังกับหุ้นเมต้ามากเช่นไร ความคาดหวังที่พลังทลายลงมานี้ก่อให้เกิดโอกาสใหม่ในการปรับตัวชึ้น สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ใช่เพียงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ต้องมองกลับไปดูประวัติศาสตร์ด้วย ว่าครั้งหนึ่ง มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์กก็เคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว และเราเชื่อว่าเขาจะทำได้อีกครั้ง