รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในเดือนมกราคม ที่ประกาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดลงทุนอยู่พอสมควร เมื่อตัวเลขที่ออกมาปรากฎว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 467,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลขการจ้างงานฯ ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่ถูกปรับใหม่พบว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 709,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม จุดที่นักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าทิศทางเศรษฐกิจของอเมริกาควรจะเป็นเช่นไรต่อ เมื่อตัวเลขการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะได้ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยในเดือนมกราคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.7% มาชดเชย แต่นักลงทุนบางกลุ่มก็ยังคงสับสนว่าตกลงแล้วเศรษฐกิจอเมริกาเติบโตขึ้นหรือกำลังชะลอตัว เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงตั้งใจว่าจะให้ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ ที่จะประกาศในวันพฤหัสบดี และตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากมหาลัยมิชิแกน ที่จะประกาศในวันศุกร์ เป็นตัวตัดสิน
บรรยากาศการลงทุนในภาพรวมตอนนี้ยังคงมีความผันผวนเป็นธีมคุมตลาด การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี และการประกาศของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะเปลี่ยนนโยบายการเงินในปีนี้ให้ตึงตัว ทั้งหมดทั้งมวลก็ยังคงทำให้ตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงเนื่องจากแรงเทขาย หุ้นของบริษัทชื่อดังสร้างประวัติศาสตร์ถูกเทขายมากที่สุดครั้งแรก จึงสมควรเป็นอย่างยิ่งที่สัปดาห์นี้นักลงทุนควรจับตาดูรายงานผลประกอบการของบริษัทที่มีชื่อเสียงอื่นๆ เช่น Pfizer (NYSE:PFE) Amgen (NASDAQ:AMGN) Coca-Cola (NYSE:KO), PepsiCo (NASDAQ:PEP) และ Kellogg (NYSE:K)
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีเอสแอนด์พี 500 สามารถวิ่งกลับขึ้นมาได้ 0.52% ตลอดทั้งสัปดาห์ถือว่ายังรักษาขาขึ้นเอาไว้ได้ 1.55% ลักษณะการวิ่งของกราฟดัชนีเอสแอนด์พีตอนนี้กำลังสร้างรูปธงขาขึ้น ต่อจากเทรนด์ขาลงที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ส่วนตัวแล้ว เราคาดว่าถ้ารูปแบบธงนี้เสร็จสิ้น จะก่อให้เกิดตำแหน่งไหล่ขวาของรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ความเป็นไปได้เดียวที่ขาขึ้นจะกลับมามีกำลังคือต้องขึ้นยืนเหนือเส้น neckline ให้ได้
กลุ่มหุ้นที่วิ่งขึ้นมากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้วคือกลุ่มพลังงาน ที่สามารถวิ่งขึ้นมาได้เกือบ 5% ตามมาด้วยกลุ่มการเงิน (3.56%) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 3.54% ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่ปรับตัวลดลงคือกลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม -1.58% เหตุการณ์ที่สร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นมากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้วคือรายงานผลประกอบการของบริษัทเมต้า (NASDAQ:FB) ที่สร้างความผิดหวัง จนทำให้หุ้นบริษัทร่วงลง 26%
นับเป็นครั้งแรกของหุ้นเฟซบุ๊กที่ร่วงลงหนักขนาดนี้ ประเด็นที่นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่ามีส่วนกับขาลงครั้งนี้มากที่สุดคือนโยบายความเป็นส่วนตัวใหม่ของระบบปฏิบัติการ iOS ของบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ที่สร้างความยุ่งยากให้กับการยิงโฆษณาไปยังผู้บริโภคอย่างแม่นยำ ซึ่งเราก็ล้วนทราบกันดีว่าเฟซบุ๊กเป็นบริษัทที่พึ่งพารายได้จากการฝากโฆษณาเป็นหลัก
รายงานผลประกอบการเมื่อวันพฤหัสบดีส่งหุ้นเฟซบุ๊กร่วงลงมาถึงแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ ต่อให้ตอนนี้หุ้นเฟซบุ๊กจะสามารถดีดตัวกลับขึ้นจากแนวรับนี้ได้ แต่นักลงทุนสายเทคนิคก็จะมองว่าเป็นเพียงการย่อขึ้นเพื่อสร้างไหล่ขวาของรูปแบบหัวไหล่เท่านั้น
ตลาดพันธบัตรก็กำลังส่งสัญญาณรับการมาถึงของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเมื่อวันศุกร์สามารถขึ้นยืนเหนือ 1.900% ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2019
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค กราฟอัตราผลตอบแทนฯ อายุ 10 ปีสามารถทะลุกรอบสามเหลี่ยมสมมาตรขึ้นไปได้แล้ว ยิ่งเป็นการยืนยันว่ากราฟมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้อีกในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่แล้วดอลลาร์สหรัฐกลับอ่อนค่าลง การอ่อนแรงครั้งนี้ทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐได้พบกับแนวรับของกรอบราคาขาขึ้นระยะยาว
ทองคำแม้จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในกรอบของแนวโน้มขาลง
พฤติกรรมของราคาทองคำในสัปดาห์ที่แล้วก่อให้เกิดกรอบราคาขาขึ้นระยะสั้น ที่ตามมาหลังจากการเทขายสามวันติดต่อกัน หากสุดท้ายแล้ว ทองคำหลุดกรอบขาขึ้นนี้ลงมา นั่นจะหมายถึงสัญญาณการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ
ราชาสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์จุดไฟแห่งความหวังเล็กๆ ให้กับเหล่าผู้ศรัทธา ด้วยการกลับขึ้นมายืนเหนือ $40,000
ขาขึ้นของบิทคอยน์กำลังทดสอบบริเวณด้านบนของกรอบราคาขาลง การทดสอบครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สี่ของแรงขาขึ้น หลังจากขาลงที่กินระยะเวลายาวนานมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนมาจนถึงปัจจุบัน ขาลงระลอกนี้เป็นได้ทั้งรูปแบบ Double-top ใหญ่ และรูปแบบหัวไหล่ ขาขึ้นในตอนนี้ถือว่าเร็วไปที่จะตัดสินได้ว่าแนวโน้มขาขึ้นได้กลับคืนสู่ตลอดแล้ว นักลงทุนยังคงต้องเฝ้าดูความเป็นไปได้ที่จะกลับไปยังเส้น neckline ที่ $29,136
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่เจ็ด ตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว ราคายังวิ่งขึ้นต่ออีก 2.2% เท่ากับว่าตอนนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $91.95 ต่อบาร์เรล
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EST)
วันจันทร์
02:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นจาก -0.2% เป็น 0.4%
วันอังคาร
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขดุลบัญชีการค้า: คาดว่าจะลดลงจาก -80.20B เป็น -83.00B
วันพุธ
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -1.046M เป็น 1.525M
วันพฤหัสบดี
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 0.6% เป็น 0.5% MoM
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: คาดว่าจะลดลงจาก 238K เป็น 228K
15:15 (สหราชอาณาจักร) ถ้อยแถลงของผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษนายแอนดรูว์ ไบลีย์
วันศุกร์
02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะคงที่ 1.1% QoQ
02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลขผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าจะลดลงจาก 1.1% เป็น 0.2% MoM
05:30 (รัสเซีย) การประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 8.50% เป็น 9.50%
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานนโยบายการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ