ตลาดลงทุนเข้าสู่โหมดเป็นกังวลทันทีหลังจากที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าธนาคารกลางฯ อาจทำอะไรมากกว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสี่ครั้งเพื่อดึงสภาพคล่องออก ลดเงินเฟ้อ และนำเสถียรภาพทางเศรษฐกิจกลับมา คำพูดดังกล่าวทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลง 8% จากจุดสูงสุดตลอดกาล ในขณะที่แนสแด็กลงมาจากจุดสูงสุด 15% คิดเป็นขาลงตลอดทั้งเดือน 12%
ในสัปดาห์นี้จะเป็นการเริ่มสัปดาห์ที่หนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 อย่างเป็นทางการ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่มักจะออกมาในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนใหม่ไม่ว่าจะเป็นดัชนี PMI ภาคการผลิต ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และตัวเลขการว่างงาน นอกจากนี้รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชื่อดังต่อจากสัปดาห์ที่แล้วก็ยังไม่จบ ในสัปดาห์นี้จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ใดบ้างที่จะรายงานผลประกอบการ บทความนี้จะพาไปดู
1. Advanced Micro Devices
บริษัทผู้ผลิตชิปประมวลผลคอมพิวเตอร์ชื่อดัง “เอเอ็มดี” (NASDAQ:AMD) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าไตรมาสนี้เอเอ็มดีจะสามารถทำกำไรได้ $4,470 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.75
การชะลอตัวของหุ้นเทคฯ ในปีนี้ได้สร้างผลกระทบต่อหุ้นเทคโนโลยีชื่อดังไปทั่วทั้งตลาด และหุ้นของเอเอ็มดีก็ไม่ได้รับการยกเว้น ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน หุ้นเอ็มดีปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 27% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $105.24 เช่นเดียวกับดัชนีวัดมูลค่าหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์จากฟิลาเดเฟียที่ปรับตัวลดลงประมาณ 16%
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นในหุ้นของเอเอ็มดี เพราะในเดือนตุลาคมบริษัทเอเอ็มดียังสามารถรายงานผลประกอบการที่เอาชนะตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ได้ พร้อมทั้งยังคาดการณ์ว่าไตรมาสที่สี่นี้ บริษัทน่าจะยังไม่มีปัญหาในแง่ของการสร้างผลกำไร ตราบใดที่ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างคอมพิวเตอร์ยังไม่มีที่สิ้นสุด
กำไรในไตรมาสที่สี่นั้นนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะมาจากยอดขายการ์ดจอประมวลผล และชิปคิมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งสองส่วนคิดเป็นอัตราการเติบโตของบริษัท 39% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว หากรายงานผลประกอบการครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 39% เป็นไปได้ว่ายอดขายในปีนี้ของเอ็มดีอาจเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 50%
2. Alphabet
บริษัทแม่ของเสิร์ชเอ็นจิ้นชื่อดัง ‘กูเกิล’ (NASDAQ:GOOGL) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันเวลาเดียวกันกับเอเอ็มดี นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้กูเกิลจะสามารถทำกำไรได้ $72,230 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $27.80
ความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อกำไรจากการฝากโฆษณาของกูเกิล ทำให้หุ้นบริษัทในไตรมาสที่สามสามารถทำผลงานในช่วงขาลงได้ดีกว่าเพื่อนในกลุ่ม FAANG วงการท่องเที่ยง ค้าปลีก และสื่อต่างๆ ลงทุนให้การฝากโฆษณาบนกูเกิลอย่างหนัก เพราะเชื่อว่ามีโอกาสที่โลกจะกลับไปอยู่ในยุคก่อนโควิดได้
ถึงแม้ว่าตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นกูเกิลจะปรับตัวลดลงมา 8% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $2,667.02 แต่หุ้นกูเกิลก็ยังได้รับการแนะนำให้เป็นตัวเลือกน่าลงทุนภายในกรอบระยะเวลา 12 เดือน ด้วยผลงานขาขึ้นในปีที่ผ่านมา 65%
3. Amazon
บริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกนาม 'แอมาซอน' (NASDAQ:AMZN) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไตรมาสนี้แอมาซอนจะสามารถทำกำไรได้ $137,730 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.72
ปัญหาซัพพลายเชนคอขวด เงินเฟ้อที่ทำให้ค่าแรงสูงขึ้น สร้างผลกระทบให้กับราคาหุ้นของแอมาซอนมาตลอดระยะเวลาหกเดือนล่าสุด เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหานี้ แอมาซอนจึงได้ลงทุนอย่างหนักกับการพัฒนาเทคโนโลยีศูนย์กลางรวบรวมข้อมูล ในปีนี้หุ้นแอมาซอนปรับตัวลดลงมาแล้ว 14% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $2,879.56
ถึงแม้ว่าในปี 2020 จะเป็นปีทองของหุ้นแอมาซอน การที่ผู้คนถูกบังคับให้อยู่แต่บ้าน ทำให้ยอดการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากแอมาซอนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อปัญหาเงินเฟ้อ กับซัพพลายเชนคอขวดเข้ามาในปีนี้ ทำให้บริษัทต้องพบปัญหาการส่งมอบสินค้าให้ทันความต้องการของลูกค้าได้ ในเดือนตุลาคม แอมาซอนได้เตือนนักลงทุนว่ากำไรที่ได้มา $140,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงไตรมาสที่สาม อาจจะไม่สามารถกลายเป็นรายได้ให้กับบริษัทได้เลย