ดูเหมือนว่ารายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ที่เริ่มเปิดฉากมาได้เป็นเวลาสัปดาห์กว่าๆ จะไม่สามารถกอบกู้ขาลง ที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้วได้ ดัชนีแนสแด็ก 100สร้างขาลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 ส่งผลให้ตลาดหุ้นอเมริกาเกิดการเทขายหนักที่สุดในรอบสองปีล่าสุด
ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจึงหวังว่าจะได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดหุ้นบ้าง เมื่อบริษัทชื่อดังจะพากันรายงานผลประกอบการ และคาดการณ์ภาพรวมตลาดและเศรษฐกิจในปีนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่บนดัชนีดาวโจนส์ไม่ว่าจะเป็นโบอิ้ง (NYSE:BA) และแคทเทอร์พิลล่าร์ (NYSE:CAT) ฯลฯ จะรายงานผลประกอบการฯ ท่ามกลางความกังวลที่มีต่อการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ในช่วงสัปดาห์ที่สำคัญสำหรับการรายงานผลกำไรไตรมาสที่ 4 นี้ เราจะให้ความสำคัญไปที่หุ้นยักษ์ใหญ่ 3 ตัว รายรับของพวกเขาจะสามารถช่วยตอบคำถามว่าบริษัทเหล่านี้จะยังคงได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวหลังโรคระบาด ที่ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นหรือไม่
1. Tesla
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา (NASDAQ:TSLA) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันพุธที่ 26 มกราคม หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดทำการ นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เทสลาจะสามารถทำกำไรได้ $16,990 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.26
ในช่วงปีใหม่ เทสลาได้ประกาศว่าพวกเขาสามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาสที่ 4 ให้กับลูกค้าทั้งหมด 308,600 คัน เอาชนะสถิติเดิมที่เคยทำไว้ได้เรียบร้อย การที่ตัวเลขส่งมอบฯ สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ได้กำไรทั้งหมดของเทสลาในปี 2021 เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ประมาณ 87% คิดเป็นจำนวนรถทั้งหมดที่ส่งมอบทั้งปี 936,000 คัน แสดงให้เห็นว่าปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลน ไม่ใช่เรื่องที่ CEO คนเก่งอีลอน มักส์จะไม่สามารถเอาชนะได้
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้กลับไม่ได้ช่วยราคาหุ้นของบริษัท ที่ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 จากวันที่ 3 มกราคม ที่เป็นวันทำการแรกของปี 2022 จนถึงตอนนี้ หุ้นเทสลาปรับตัวลดลงมาแล้ว 11% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $943.90 ลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ที่ $1,243.49
2. Apple
บริษัทผู้ผลิตมือถือชื่อดัง ‘iPhone’ (NASDAQ:AAPL) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 1 ปี 2022 ในวันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้แอปเปิลจะสามารถทำกำไรได้ $118,740 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.89
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญในรายงานผลประกอบการของบริษัทแอปเปิลคือความสามารถในการผลิตที่ยังคงทันความต้องการของผู้บริโภคอยู่ ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม ทิม คุก CEO คนดังของแอปเปิลได้เคยออกมาเตือนนักลงทุนว่าปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนส่งผลกระทบถึงความสามารถในการผลิตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายของแอปเปิลจะต้องสูงจนสามารถสร้างเป็นสถิติใหม่ เพราะในช่วงนั้นแอปเปิลได้เปิดตัวผลภัณฑ์ใหม่ไม่ว่าจะเป็น iPad และ Macbook อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งเดือนมกราคมจนถึงปัจจุบัน หุ้นแอปเปิลปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 8% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $162.41 ซึ่งยังถือว่าดีกว่าดัชนีแนสแด็ก 100 ที่ปรับตัวลดลง 12%
3. Chevron
บริษัทน้ำมันต่างชาติแห่งแรกที่ได้รับสัมปทานสำรวจปิโตรเลียมในประเทศไทย “เชฟรอน” (NYSE:CVX) นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในไตรมาสนี้จะมีตัวเลขผลกำไรอยู่ที่ $44,590 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.11
ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุด บริษัทเชฟรอนกล่าวว่าจะนำกำไรที่ได้มากลับไปซื้อหุ้นคืนในช่วงที่ราคาพลังงานกำลังมีราคาที่แพงขึ้น เพื่อสร้างกระแสเงินสดเพิ่มให้กับบริษัท เพราะราคาก๊าซธรรมชาติที่แพงขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของความสามารถในการกลั่นน้ำมันทำให้บริษัทเชฟรอนกำลังพิจารณาขยายระยะเวลาโครงการซื้อหุ้นบริษัทคืน ในช่วงไตรมาสที่สามเชฟรอนรายงานว่าเป้นช่วยที่ภาพเขามีสภาพคล่องสูงที่สุด
ราคาน้ำมันดิบตอนนี้ปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าช่วงต้นปี 2020 แล้วประมาณ 70% ล่าสุดองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ออกมาให้ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าความต้องการน้ำมันในปี 2022 จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงที่มีการระบาด ในกรอบระยะเวลาหกเดือนล่าสุด หุ้นเชฟรอนปรับตัวขึ้นมาแล้ว 26% มีราคาซื้อขายหุ้นล่าสุดอยู่ที่ $126.91