เริ่มต้นอย่างเป็นทางการกับการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา และทุกครั้งที่มีการประกาศฯ ความสนใจของนักลงทุนก็คงหนีไม่พ้นรายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่น่าสนใจก็คือในปีนี้ดัชนีแนสแด็กกลับไม่ได้ทำผลงานขาขึ้นอย่างโดดเด่นอย่างเช่นเมื่อสองปีก่อน แต่กลับวิ่งอยู่ในจุดต่ำสุดของเดือนมกราคม อันมีสาเหตุมาจากการอพยพของนักลงทุนไปหาหุ้นกลุ่มอื่น หนีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าจะทำให้หุ้นกลุ่มเทคฯ ปรับตัวลดลง
และก็เป็นธรรมเนียมของทุกครั้งที่มีรายงานผลประกอบการที่ Investing.com จะต้องนำเอาสถานการณ์และข้อมูลล่าสุดของกลุ่ม 5 เทพหุ้นเทคฯ มาฝากอีกเช่นเคย อนึ่ง กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทั้งห้านี้ประกอบไปด้วยบริษัท เมต้า (ในอดีตใช้ชื่อว่าเฟสบุ๊ก) แอปเปิล แอมาซอน ไมโครซอฟต์ และกูเกิล หรือที่ชาวตะวันตกจะเรียกรวมกันว่ากลุ่ม “FAAMG”
1. Microsoft
- วันรายงานผลประกอบการ: อังคารที่ 25 มกราคม หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
- คาดการณ์อัตราเติบโตของ EPS:+13.8% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้:+17.5% YoY
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -10%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $2.28 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ในตำนานอย่าง “ไมโครซอฟต์ เวิร์ด” นามว่า “ไมโครซอฟต์” (NASDAQ:MSFT) จะรายงานผลประกอบการแบบปีงบประมาณของไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ในวันอังคารที่ 25 มกราคม หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้ไมโครซอฟต์จะสามารถทำกำไรได้เกิน $50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $2.03
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญคือการเติบโตของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบคลาวด์ Azure, GitHub, SQL Server, Windows Server ฯลฯ ในไตรมาสล่าสุดกำไรจากคลาวด์ของไมโครซอฟต์เพิ่มขึ้นเป็น 31% YoY คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด $16,960 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรที่ได้จากอาชัวร์ (Azure) เติบโตขึ้นเป็น 50%
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัทไมโครซอฟต์เป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนวงการเกมเมื่อไมโครซอฟต์ตัดสินใจซื้อบริษัทผู้ผลิตเกมชื่อดัง Activision Blizzard (NASDAQ:ATVI) ในวงเงินมูลค่า $68,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ดีลนี้ถือเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท และเป็นการส่งสัญญาณไปทั่วทั้งวงการเกมว่าไมโครซอฟต์เอาจริง และต้องการขึ้นเป็นแนวหน้าของผู้ผลิตเกมในอนาคต
ตั้งแต่เริ่มปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นไมโครซอฟต์ปรับตัวลดลงมาแล้ว 10% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $302.65 เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากเป้นอันดับที่สองของโลก ถึงจะมีความเสี่ยง แต่นักวิเคราะห์ก็ยังเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นไมโครซอฟต์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ตราบใดที่ยังมีความต้องการคลาวด์จากผู้บริโภคและการก้าวเข้าสู่โลกเมต้าเวิร์ส จึงไม่น่าแปลกใจที่นักวิเคราะห์ 42 จาก 45 คนของ Investing.com ลงความเห็นให้หุ้นไมโครซอฟต์เป็นตัวเลือกที่ “โดดเด่น” และมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับราคาปัจจุบันขึ้นไปยัง $368.52 หรือคิดเป็นการปรับตัวขึ้น 22%
ที่มา: Investing.com
2. Apple
- วันรายงานผลประกอบการ: พฤหัสบดีที่ 27 มกราคม หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
- คาดการณ์อัตราเติบโตของ EPS:+12.5% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้:+6.3% YoY
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -4.4%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $2.77 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือชื่อดังของโลก “iPhone” นามแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) จะรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 1 แบบปีงบประมาณ บริษัทแอปเปิลจะสามารถทำกำไรได้ $118,490 ล้านเหรียญสหรัฐ มีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.89
รายงานผลประกอบการของบริษัทแอปเปิลในไตรมาสล่าสุดมีความไม่สอดคล้องกันอยู่เยอะพอสมควร แม้ว่ากำไรจะสามารถเอาชนะการคาดการณ์ไปได้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ายังมีปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลนมารุมเร้า นักลงทุนจึงจะจับตาดูในรายงานผลประกอบการสัปดาห์หน้าว่าจะสามารถทำกำไรได้ดีจากในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาหรือไม่ หากว่ากำไรที่ได้ในไตรมาสนี้มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์จริง แอปเปิลจะทำสถิติเป็นไตรมาสที่มีกำไรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
นักวิเคราะห์ต้องการดูอัตราการเติบโตของกำไรที่ได้จากโทรศัพท์ iPhone ที่ในไตรมาสที่แล้วเติบโตขึ้น 47% คิดเป็นเงิน $38,870 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้พวกเขายังจะจับตาการเติบโตของยอดขายผลิตภัณฑ์อย่าง iPad และเครื่อง Mac ที่มีอัตราการเติบโตแบบปีต่อปีอยู่ที่ 21.4% และ 1.6% ตามลำดับ ธุรกิจอื่นๆ อย่างเช่น App Store, Apple Music ฯลฯ และการโฆษณาที่มีอัตราการเติบโตแบบ YoY อยู่ที่ 25.6% ก็จะได้รับการจับตาด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นแอปเปิลปรับตัวลดลงมาแล้ว 4.4% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $169.80 ครองตำแหน่งบริษัทอันดับหนึ่งที่มีมูลค่าตามตลาดสูงที่สุดในโลก นอกจากกำไรของผลิตภัณฑ์แอปเปิลที่เราเห็นกันจนชินตา นักลงทุนยังคาดหวังจะได้เห็นแอปเปิลพูดถึงแผนการก้าวเข้าสู่โลกเทคโนโลยี AR/VR และโลกเมต้าเวิร์ส
นักวิเคราะห์ 35 จาก 41 คนของ Investing.com ยังยกให้หุ้นแอปเปิลอยู่ในฐานะ “โดดเด่น” และเชื่อว่าหุ้นแอปเปิลจะปรับตัวขึ้นอีก 3% จากระดับราคาปัจจุบัน ขึ้นไปยังเป้าหมาย $175.17
ที่มา: Investing.com
3. Google
- วันรายงานผลประกอบการ: อังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
- คาดการณ์อัตราเติบโตของ EPS:+23.5% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้:+26.6% YoY
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -6.1%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $1.81 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทเจ้าของเสิร์ชเอ็นจิ้นชื่อดัง “กูเกิล” นาม “อัลฟาเบต” (NASDAQ:GOOGL) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไตรมาสนี้กูเกิลจะสามารถทำกำไรได้ $72,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $22.30
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจตืออัตราการเติบโตที่ได้จากการฝากโฆษณาบนกูเกิล ซึ่งในไตรมาสก่อนหน้านี้สามารถปรับตัวขึ้นได้ 43% คิดเป็นเงินมูลค่า $53,100 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรที่ได้จากแพลตฟอร์มวิดีโออย่าง YouTube คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปีก่อน 43% คิดเป็นเงิน $7,210 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้นักลงทุนจะให้ความสนใจกับกำไรที่ได้จากธุรกิจคลาวด์ ที่ซึ่งไตรมาสที่สามสามารถเติบโต 45% คิดเป็น $4,990 ล้านเหรียญสหรัฐ
ล่าสุดหุ้นกูเกิลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $2,719.96 พึ่งสร้างสถิติขาขึ้นตลอดทั้งปีเกือบ 65% กลายเป็นบริษัทที่ทำผลงานขาขึ้นได้ดีที่สุดในกลุ่ม FAAMG ปัจจุบันมูลค่าตามราคาตลาดของกูเกิลอยู่ในอันดับที่สาม เป็นรองบริษัทแอปเปิล และไมโครซอฟต์
เราเชื่อว่าปี 2022 จะยังคงเป็นปีที่หุ้นกูเกิลจะสามารถเติบโตได้ต่อไปจากความต้องการบริการและเทคโนโลยีของบริษัท นักวิเคราะห์จาก InvestingPro คาดการณ์ว่าหุ้นกูเกิลยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก 19% หรือที่ระดับราคาหุ้น $3,234.38 ต่อหุ้น
ที่มา: InvestingPro
4. Amazon
- วันรายงานผลประกอบการ: อังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
- คาดการณ์อัตราเติบโตของ EPS:-73.5% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้:+9.7% YoY
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -4.7%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $1.61 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกนาม “แอมาซอน” (NASDAQ:AMZN) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายงานผลประกอบการครั้งนี้แอมาซอนจะมีรายได้ลดลง 10% คิดเป็นเงิน $137,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.73
นักวิเคราะห์เชื่อว่าการที่สถานการณ์โรคระบาดกำลังกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นทุกวัน จะทำให้การจับจ่ายใช้สอยกลับมาเป็นเหมือนเดิมด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น แอมาซอนที่ทำขายได้อย่างถล่มทลายจากการค้าขายออนไลน์ก็จะมีกำไรลดลง นอกจากยอดขายจาก e-commerce นักลงทุนจะให้ความสนใจกับรายงานตัวเลขกำไรจาก ‘Amazon Web Services (AWS)’ ที่ในไตรมาสที่ 3 เคยเติบโตขึ้น 39% คิดเป็นเงินมูลค่า $16,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้จากการโฆษณา ซึ่งได้กลายเป็นกำลังการเติบโตที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของแอมาซอน ก็จะถูกพิจารณาอย่างละเอียดเช่นกัน แม้ว่าแอมาซอนจะไม่เปิดเผยตัวเลขจากการโฆษณา แต่ก็ถูกรวมอยู่ในหมวด "ผลิตภัณฑ์อื่นๆ" ที่เติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัท ซึ่งมีรายได้ในไตรมาสที่ 3เพิ่มขึ้นประมาณ 50%
หุ้นแอมาซอนมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $3,178.35 จบปี 2021 ด้วยอัตราการเติบโตเพียง 2.4% เท่านั้น มีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่เป็นอันดับที่สี่ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถึงปีที่แล้วจะเป็นปีที่น่าผิดหวัง แต่นักลงทุนก็ยังเชื่อว่าความต้องการคลาวด์ และการเป็นเจ้าแห่ง e-commerce ก็ไม่มีอะไรมาสามารถยับยั้งการเติบโตของแอมาซอนได้ นักวิเคราะห์จาก InvestingPro เชื่อว่าหุ้นแอมาซอนจะเติบโตขึ้นอีก 23% จากระดับราคาปัจจุบัน ขึ้นไปเป็น $3,921.56
ที่มา: InvestingPro
5. Meta Platforms
- วันรายงานผลประกอบการ: พุธที่ 2 กุมภาพันธ์ หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
- คาดการณ์อัตราเติบโตของ EPS:-0.7% YoY
- คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้:+18.7% YoY
- ผลงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน: -5.4%
- มูลค่าตามราคาตลาด: $885,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทผู้ที่พึ่งเปลี่ยนชื่อจาก ‘เฟสบุ๊ก’ มาเป็น ‘เมต้า’ (NASDAQ:FB) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดในวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทเมต้าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 19% YoY คิดเป็นเงิน $33,300 ล้านเหรียญสหรัฐ มีตัวเลขอัตราการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.85
ถึงรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 จะไม่สวยหรูเท่าที่คาด แต่เมต้าก็สามารถหากำไรมาวางเงินจำนวน $50,000 ล้านเหรียญสหรัฐไปกับการซื้อหุ้นคืนได้ ในไตรมาสเดียวกันนั้น เมต้าได้เตือนว่าต้นทุนที่แพงขึ้นทำให้กำไรจากการลงทุนกับเทคโนโลยี VR ในปี 2021 ลดลงประมาณ $10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจในรายงานผลประกอบการครั้งนี้คือเมื่อเปลี่ยนชื่อมาเป็นเมต้าเวิร์สแล้ว เมต้าจะพัฒนาโลกเสมือนของตัวเองไปในทิศทางใด
เพื่อเตรียมตัวก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างแท้จริง บริษัทเมต้าจึงได้แยกบางบริษัทออกจากเฟสบุ๊กเดิมอย่างเช่น Reality Labs ที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาฮาร์ดแวร์ให้กับลูกค้า อย่างเช่นแว่นเสมือนจริง ในไตรมาสนี้เมต้ายังไม่ลืมที่จะรายงานผลประกอบการของแอปพลิเคชันชื่อดังอย่างเฟสบุ๊ก อินสตาแกรม แมสเซนเจอร์ และวอทส์แอปด้วย
ต้องยอมรับว่าการประกาศสร้างเมต้าเวิร์สของบริษัทเมต้าสามารถดึงความสนใจออกจากการทำกำไรผ่านการฝากโฆษณา ที่มักเป็นประเด็นถูกโจมตีอยู่ตลอดได้สำเร็จ ในรายงานผลประกอบการครั้งนี้เชื่อว่าหลายคนรอที่จะังความเห็นของ CEO คนดังนายมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กด้วย
ล่าสุดหุ้นเฟสบุ๊กมีราคาปิดอยู่ที่ $318.15 ปรับตัวลดลงมา 5% จากจุดเปิดของปี 2022 จนถึงปัจจุบัน รั้งอันดับที่หกของบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตามความเห็นของนักวิเคราะห์จาก InvestingPro พวกเขาเชื่อว่ามีโอกาสที่หุ้นเมต้าจะปรับตัวขึ้นอีก 31% จากระดับราคาปัจจุบัน ขึ้นไปยังระดับราคา $417.46
ที่มา: InvestingPro