ช่วงเวลาแห่งการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 กำลังจะเริ่มเปิดฉากขึ้นในวันพรุ่งนี้อย่างเป็นทางการ และเป็นธรรมเนียมของทุกๆ ครั้งที่การรายงานฯ จะเริ่มต้นด้วยหุ้นกลุ่มธนาคารก่อนเสมอ ครั้งนี้นักลงทุนเชื่อว่ามีโอกาสสูงมากที่หุ้นธนาคารจะสามารถรายงานผลประกอบการเป็นบวกได้อย่างงดงาม เนื่องจากจะได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในปี 2022 กระแสเชิงบวกนี้ได้ทำให้ดัชนีวัดความสามารถของหุ้นกลุ่มธนาคาร 24 แห่งจาก KBW สามารถปรับตัวขึ้นได้มากกว่า 11% เพิ่มขึ้นจากขาขึ้น 35% ในปี 2021
เป็นที่ทราบกันดีว่าธนาคารเป็นธุรกิจที่ได้กำไรจากดอกเบี้ยเงินกู้ ยิ่งดอกเบี้ยสูงเท่าไหร่ ธนาคารก็ยิ่งมีอัตราการเติบโตมากขึ้นเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน การมีอัตราดอกเบี้ยสูงจะกลายเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชน หรือผู้ขอกู้ ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยตลอดสองปีที่ผ่านมาจึงทำให้ภาระต้นทุนของประชาชนลดลง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้กำไรของธนาคารหดหาย
สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดการระบาดของโควิดนำมาสู่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในปัจจุบัน ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ เรย์มอนด์ เจมส์ นักวิเคราะห์ชื่อดังให้ความเห็นว่า
“ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจนก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารที่มากขึ้นทำให้หุ้นธนาคารมีโอกาสเติบโตเป็นอย่างมากในปีนี้”
ปัจจัยอื่นๆ ที่จะสนับสนุนขาขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร
ธนาคารชื่อดังสามแห่งที่จะรายงานผลประกอบการในวันพรุ่งนี้ประกอบไปด้วยเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) เวลล์ ฟาร์โก (NYSE:WFC) และซิตี้ กรุ๊ป (NYSE:C) การรายงานผลประกอบการครั้งนี้จะเกิดขึ้นก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่ามีโอกาสที่หุ้นธนาคารจะปรับตัวขึ้นต่อไปได้
จากหุ้นทั้งหมด 3 ตัว ตัวเลือกที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดคือหุ้นของธนาคารเจพี มอร์แกน ที่คาดว่าจะรายงานผลประกอบการออกมาอยู่ที่ $29,870 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่สามเซนต์ ในไตรมาสที่ 3 กำไรจากค่าธรรมเนียมในการลงทุนและการให้คำปรึกษา ทำให้หุ้นเจพี มอร์แกนสามารถทำสถิติมีกำไรรายไตรมาสสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นเจพี มอร์แกนปรับตัวขึ้นมาแล้ว 6% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวานนี้อยู่ที่ $168.44 อ้างอิงข้อมูลจากโมเดลคำนวณมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นจาก InvestingPro พบว่ามีตัวเลขอยู่ที่ $181.88 จากระดับราคาปัจจุบันถึงระดับราคาที่ถูกคำนวณออกมา เท่ากับว่าหุ้นเจพี มอร์แกนมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก 9% เป็นอย่างน้อย
ที่มา: InvestingPro
นอกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะเป็นกำลังหลักให้กับขาขึ้นของหุ้นธนาคาร นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าหุ้นธนาคารจะได้แรงสนับสนุนจากการลงทุนอัปเกรดในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และการลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางฯ ที่ใกล้จะหมดลง ความสามารถในการกู้ยืมจากผู้กู้ก็จะมากขึ้น เพราะพวกเขามีเงินที่เก็บสะสมมาจากช่วงที่รัฐบาลแจกเงินเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ
เรื่องความสามารถในการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นมีหลักฐานเชิงตัวเลขปรากฎอยู่ในไตรมาสที่ 3 ข้อมูลจากธนาคารซิตี้กรุ๊ปเผยว่ายอดการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 20% นอกจากนี้หลายๆ ธนาคารยังให้ข้อมูลตรงกันว่าผู้บริโภคมีการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาถึงครึ่งหนึ่งของช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดแล้ว
สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็นจากรายงานผลประกอบการในครั้งนี้นอกจากจะเป็นตัวเลขผลกำไร พวกเขาอาจจะต้องเห็นตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของความสามารถในการกู้ หากเพิ่มมากขึ้น ก็แปลว่าธนาคารมีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย Wedbush หนึ่งในสำนักวิเคราะห์ตลาดลงทุนชื่อดังให้ข้อมูลว่า
“สำหรับไตรมาสที่ 1 นั้นอัตราการเติบโตของความสามารถในการกู้อาจชะลอตัวเพราะการระบาดของโอมิครอน แต่เราเชื่อว่าโอมิครอนจะเป็นเพียงปัจจัยฉุดรั้งชั่วคราว ก่อนที่จะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นต่อไปตลอดทั้งปี 2022”
โดยสรุปแล้ว
หุ้นธนาคารในภาพรวมเริ่มต้นได้ดีมาตั้งแต่เริ่มปี 2022 และจะยิ่งมีความน่าดึงดูดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามข่าวเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับตัวเลือกในหุ้นกลุ่มนี้ เราเลือกเจพี มอร์แกนเพราะการกระจายเงินลงทุน และบัญชีงบดุลที่แข็งแกร่ง หากว่าในปีนี้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ขาขึ้นของหุ้นเจพีฯ ต้องปรับตัวลดลง ให้พิจารณาว่านั่นคือการย่อและเป็นโอกาสสำหรับการเข้าถือครองหุ้นในระยะยาว