ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดศักราชใหม่ปี 2022 ด้วยภาพที่ไม่สวยงามเท่าไหร่นัก ในสัปดาห์แรกของปีนี้ดัชนีหลักไม่ว่าจะเป็นดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก 100 ต่างก็ปรับตัวลดลงมาแล้ว 0.3% 1.9% และ 4.5% ตามลำดับ
จากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักวิเคราะห์เริ่มหาทางออกให้กับตลาดลงทุน ด้วยข้อมูลที่ว่าปีนี้มีโอกาสที่หุ้นเน้นมูลค่าและกองทุน ETF จะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากหุ้นสายเติบโตไม่สามารถไปต่อได้เพราะขาดสภาพคล่อง เฉพาะเดือนธันวาคมปี 2021 พบว่าดัชนีหุ้นสายมูลค่าของเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้น 6.8% ในขณะที่ดัชนีหุ้นสายเติบโตของเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เพียง 2.5% เท่านั้น
ถ้าหากกองทุน ETF จะกลายเป็นจุดสนใจในปีนี้ขึ้นมา แล้วมีกองทุน ETF ไหนที่เข้าตานักวิเคราะห์เหล่านั้นบ้าง ในบทความนี้เราจะพาไปดู
1. Invesco S&P 500 Pure Value ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $54.40
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $62.65 - $84.97
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.34%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.35% ต่อปี
กองทุนตัวแรกมีชื่อว่า Invesco S&P 500® Pure Value ETF (NYSE:RPV) เป็นกองทุนที่ใช้วัดศักยภาพของหุ้นสายมูลค่า ที่มีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 กองทุน RPV วัดอัตราการเติบโตของหุ้นด้วยอัตราส่วนทางการเงินที่เปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นต่อหุ้นเทียบกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/B) อัตราส่วนเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนราคาต่อการขาย (P/S) RPV เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2006
RPV อ้างอิงราคาขึ้นลงตามดัชนี S&P 500 Pure Value ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 124 บริษัท เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 5 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มการเงิน 31.69% ตามมาด้วยกลุ่มเฮลท์แคร์ 10.77% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 9.80% กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น 9.42% และกลุ่มอุตสาหกรรมบริการสื่อสาร 8.40%
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 17% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $3,020 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Berkshire Hathaway (NYSE:BRKa) (NYSE:BRKb) Prudential Financial (NYSE:PRU) Cigna (NYSE:CI) ViacomCBS (NASDAQ:VIAC) และ CVS Health (NYSE:CVS)
ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด ราคาของ RPV ได้ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 30.9% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 10.79x และ 1.31x ตามลำดับ แม้ว่าใครหลายคนจะมองว่า RPV ปรับตัวขึ้นมามากแล้วในปีที่ผ่านมา แต่เรายังเชื่อว่า RPV มีศักยภาพให้ปรับตัวขึ้นต่อได้อีก
2. iShares S&P Mid-Cap 400 Value ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $111.22
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $87.09 - $114.21
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.60%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.18% ต่อปี
กองทุนที่สองมีชื่อว่า iShares S&P Mid-Cap 400 Value ETF (NYSE:IJJ) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตามตลาดอยู่ในระดับกลางที่หุ้นของบริษัทอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น IJJ เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2000
IJJ อ้างอิงราคาขึ้นลงตามดัชนี S&P Midcap 400 Value ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 301 บริษัท เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 6 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มอุตสาหกรรม 19.10% ตามมาด้วยกลุ่มการเงิน 16.91% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 13.94% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 11.64% กลุ่มเทคโนโลยี 10.38% และกลุ่มสุขภาพ 6.73%
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 8% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $8,820 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Medical Properties Trust (NYSE:MPW) Lear (NYSE:LEA) Aecom (NYSE:ACM) Reliance Steel & Aluminum (NYSE:RS) และ Knight Transportation (NYSE:KNX)
IJJ ในปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 23.4% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 21.70x และ 2.08x ตามลำดับ หากต้องการลงทุนกับ IJJ ให้พิจารณาเมื่อราคาปรับตัวลดลงมาที่ $107
3. Vanguard Small-Cap Value Index Fund ETF Shares
- ระดับราคาปัจจุบัน: $179.03
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $144.67 - $187.22
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.76%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.07% ต่อปี
กองทุนสุดท้ายที่จะมาแนะนำมีชื่อว่า Vanguard Small-Cap Value Index Fund ETF Shares (NYSE:VBR) เป็นกองทุนที่กระจายความเสี่ยงไปลงกับบริษัทสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตามตลาดอยู่ในระดับเล็ก กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2004
VBR อ้างอิงราคาขึ้นลงตามดัชนี CRSP US Small Cap Value Index ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 996 บริษัท เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 5 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มการเงิน 22.40% ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรม 20.20% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 15.60% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 9.60% และกลุ่มเทคโนโลยี 6.70%
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 5.5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $48,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Diamondback Energy (NASDAQ:FANG) Signature Bank (NASDAQ:SBNY) Nuance Communications (NASDAQ:NUAN) IDEX (NYSE:IEX) และ VICI Properties (NYSE:VICI)
VBR ในปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 20.2% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 12.7x และ 1.9x ตามลำดับ ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนที่เน้นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็กในปี 2022 ควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม