- สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้เร็วกว่าคาด
-
ติดตามรายงานข้อมูลเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของประธานเฟดรวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดในปีนี้
-
ระวังความผันผวนในตลาดค่าเงิน โดยเงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ หากทั้งเงินเฟ้อรวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็ว ทว่า Upsides การรีบาวด์ของเงินดอลลาร์อาจไม่มากนัก เพราะตลาดได้รับรู้โอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็วไปมากแล้ว ส่วนเงินบาทยังมีแรงกดดันจากปัญหาการระบาดในประเทศ ซึ่งต้องจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ แต่เรามองว่า แรงขายสินทรัพย์ไทยอาจไม่รุนแรงเพราะนักลงทุนต่างชาติไม่ได้กังวลปัญหาการระบาดโอมิครอนมากนัก อีกทั้งตลาดหุ้นไทยมีหุ้นกลุ่ม Cyclical ทั้งพลังงานและการเงินเป็นสัดส่วนใหญ่ ซึ่งอ่อนไหวต่อการปรับนโยบายการเงินเฟดน้อยกว่าหุ้น Tech. ดังนั้น เรามองว่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าทะลุ 34 บาท/ดอลลาร์ หากปัญหาการระบาดไม่ได้ถึงขั้นวิกฤติ
-
มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
33.30-33.90 บาท/ดอลลาร์ -
ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะให้ความสนใจรายงานข้อมูลเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนธันวาคม หลังจากที่ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดได้สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจใกล้ถึงระดับที่เฟดพึงพอใจ โดยหากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 7.0% จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่เฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็วกว่าคาด อาทิ ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมและพร้อมลดงบดุลในปีนี้ ซึ่งเรามองว่า หากเฟดจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมได้จริง เฟดจะต้องมีการสื่อสารล่วงหน้า ดังนั้น ควรจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะ John Williams ที่มีท่าทีเป็นกลางต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินเฟด และที่สำคัญตลาดจะจับตาการแถลงต่อคณะกรรมาธิการ Senate Banking ในกระบวนการสรรหาประธานและรองประธานเฟด (Confirmation Hearing) ของว่าที่ประธานเฟดสมัยที่ 2 Jerome Powell และ ว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard ว่าทั้งสองท่านจะมีมุมมองต่อภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้ออย่างไร รวมถึงมุมมองต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเฟดในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งนี้ เรามองว่า ทั้งสองท่าน รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาจรอประเมินผลกระทบของการระบาดของโอมิครอนต่อการเติบโตเศรษฐกิจ โดยสัญญาณผลกระทบเบื้องต้นอาจสะท้อนผ่าน ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนธันวาคม ที่อาจหดตัว -0.1%m/m แม้ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลที่ปกติแล้วยอดค้าปลีกควรขยายตัวได้ดี รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนมกราคมที่อาจชะลอลงสู่ระดับ 70 จุด
-
ฝั่งยุโรป – เนื่องจากการระบาดของโอมิครอนในยุโรปอาจเข้าใกล้ถึงจุดเลวร้ายที่สุด อีกทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยังไม่รุนแรงมากนัก ทำให้นักลงทุนสถาบันอาจไม่ได้มีมุมมองเชิงลบมากขึ้นต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจและทิศทางตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนมกราคม ที่อาจปรับตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 13 จุด ทั้งนี้ เรามองว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังมีความน่าสนใจลงทุน เนื่องจากมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่จะได้รับอานิสงส์จากธีมการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระดับที่สูงราว 54% ส่วนระดับราคาหุ้น ณ ปัจจุบันถือว่ายังไม่แพงไปมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลกหรือตลาดหุ้นสหรัฐฯ และที่สำคัญธนาคารกลางยุโรปก็ยังไม่มีทีท่าจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็วเหมือนกับเฟด อนึ่ง ผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอนที่ยังคงสร้างปัญหาด้าน Supply Chain จะทำให้ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของยุโรปในเดือนพฤศจิกายน หดตัวราว -0.1% จากเดือนก่อนหน้า ชะลอลงจากที่โตได้ +1.1% ในเดือนตุลาคม
-
ฝั่งเอเชีย – เราคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.00% ก่อน จนกว่า BOK จะมั่นใจว่าการระบาดของโอมิครอนจะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น BOK จะสามารถกลับมาขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือ ในไตรมาสที่ 2 ส่วนในฝั่งจีน ยอดการส่งออก (Exports) ในเดือนธันวาคม มีแนวโน้มขยายตัวได้กว่า +20%y/y หนุนโดยความต้องการสินค้าทั่วโลกและระดับราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น (สอดคล้องกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นหรืออยู่ในระดับสูงในหลายประเทศ) อย่างไรก็ดีในระยะสั้น ยอดการส่งออกของจีนอาจได้รับผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอนบ้าง แต่คาดว่าความต้องการสินค้าจากทั่วโลกจะกลับมาขยายตัวดีขึ้น หลังการระบาดเริ่มสงบลง ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของจีนยังคงขยายตัวได้ดีและช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น
-
ฝั่งไทย – เราคงมองว่า ผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่จะไม่กดดันให้เศรษฐกิจซบเซาหนัก เนื่องจากรัฐบาลจะพยายามเลี่ยงการใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวด โดยอาศัยการเร่งแจกจ่ายวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุข อย่างไรก็ดี แม้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจไม่มากนัก แต่การระบาดของโอมิครอนอาจกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในระยะสั้นได้ ซึ่งอาจสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคมที่อาจย่อตัวลงเล็กน้อยและอาจปรับตัวลดลงมากขึ้น จนกว่าสถานการณ์การระบาดจะมีแนวโน้มดีขึ้น
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก