อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.5% หลังจากที่ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดก่อนปิดปีใหม่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วที่ 1.63%
นักลงทุนเริ่มต้นปี 2022 ด้วยความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในสหรัฐอเมริกาและหลายๆ พื้นที่ทั่วโลกจะทำลายสถิติยอดผู้ติดเชื้อโควิดตลอดสองปีที่ผ่านมาได้ แต่ตลาดลงทุนเริ่มทำใจยอมรับกับความเสี่ยงดังกล่าว และให้ความสำคัญกับยอดผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและยอดผู้เสียชีวิตมากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราได้เห็นตลาดหุ้นและราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น และกดดันราคาทองคำให้ร่วงลง
ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ “CME’s FedWatch” ระบุว่ามีความเป็นไปได้ถึง 54% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดคือเดือนมีนาคมปี 2022 ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ดัชนีดังกล่าวเคยมีค่าตัวเลขอยู่ที่ 26% ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็น 50% ในวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม นั่นจึงทำให้ตลาดลงทุนหวังว่ารายงานการประชุมในช่วงกลางเดือนธันวาคมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะออกมาในสัปดาห์นี้จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยบ้าง
ลดเงินเฟ้อ ขึ้นดอกเบี้ย: คือโจทย์ใหม่ที่ตลาดโยนให้เหล่าธนาคารกลางในปีนี้
การเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์คือข้อสรุปของตลาดลงทุนที่มีต่อโอมิครอนว่าไม่ร้ายแรงอย่างที่เคยกังวลกัน แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อจะสูงจนน่ากลัว แต่จนถึงตอนนี้ยอดผู้ป่วยรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตยังมีเพียง 3% เท่านั้นในรอบสองสัปดาห์ล่าสุด
นักลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปก็เริ่มที่จะตั้งตัวได้แล้วเช่นกัน เมื่อตลาดหุ้นยุโรปในวันจันทร์ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล กดดันราคาพันธบัตรรัฐบาลให้ปรับตัวลดลง ข้อมูลเมื่อวันจันทร์ระบุว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมันอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นไปยังระดับ - 0.1225% เทียบกับ -0.1800% จากวันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม (เพราะตลาดหุ้นเยอรมันปิดทำการเมื่อวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม)
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าปี 2022 นี้มนุษยชาติจะได้กลับไปใช้ชีวิตใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดมากกว่าสองปีที่ผ่านมา พวกเขาให้เหตุผลว่าเป็นเพราะตอนนี้โลกของเรามีทั้งวัคซีน มีทั้งเข็มบูสเตอร์ มีทั้งยาต้านโควิดแบบเม็ดแล้ว และถึงแม้ว่าโควิดจะกลายพันธุ์ต่อไป แต่ความรุนแรงก็จะลดลง ยิ่งถ้าการระบาดของโอมิครอนจบลง ผู้คนก็จะยิ่งตระหนักถึงความจริงนี้ได้มากขึ้น และการระบาดครั้งต่อไปก็จะมีคนสนใจน้อยลง และ ณ จุดนั้นเอง (หากธนาคารกลางคุมเงินเฟ้อเอาไว้ได้) จะเป็นจังหวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาจากความต้องการที่อัดอั้นไว้
หากความกังวลเกี่ยวกับโควิดหมดไป ความสนใจของตลาดลงทุนจะหันมาอยู่ที่ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของรัฐบาลและธนาคารกลาง เมื่อราคาสินค้าและอาหารได้ปรับตัวขึ้นไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกดราคาที่เคยสูงไปแล้วให้ปรับตัวกลับลดลงมา นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นธีมการลงทุนประจำปีนี้เลย เพราะความยากนั้นอยู่ที่ธนาคารกลางจะวางนโยบายการเงินอย่างไรให้ยังสนับสนุนสภาพคล่องทางเศรษฐกิจต่อไป และในขณะเดียวกันก็ต้องวางให้รัดกุมพอเพื่อกดภาวะเงินเฟ้อลงมา
ที่ผ่านมานั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลงมาวิ่งอยู่ในระดับต่ำอย่างผิดธรรมชาติ และนักเศรษฐศาสตร์บางคนก็เชื่อว่าสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยจริงติดลบนั้นจะคงอยู่ได้ไม่นาน แต่ถึงอย่างนั้นน้อยคนมากที่เชื่อว่าปัญหานี้จะสามารถคลี่คลายได้ด้วยตัวเองภายในปี 2022
แลร์รี่ แฮทเทอเวย์ และอเล็กซ์ ฟรีดแมน สองผู้ก่อตั้งงาน “๋Jackson Hole Economics” มองข้ามผลกระทบเงินเฟ้อที่มีต่อตลาดลงทุนไปแล้ว ในบทความที่พวกเขาตีพิมพ์เมื่อวันจันทร์ระบุว่า เมื่อไหร่ที่โลกทำเหมือนกับโควิดเป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นเองจะเป็นจังหวะที่ซัพพลายเชนกลับมาแข็งแกร่ง และถ้าได้ผสมโรงกับช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการเติบโตขึ้นไปถึงจุดสูงสุด นั่นจะเป็นจังหวะที่เงินเฟ้อกลายเป็นเรื่องของอดีตไปเลย
ในความเห็นของพวกเขาที่มีต่อตลาดพันธบัตร ทั้งสองคนมองว่าจริงอยู่ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในภาวะเงินเฟ้อ แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อราคาพันธบัตรมากนัก
“จริงอยู่ว่าในปี 2022 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรฯ ยังจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ แต่ความเร็วในการขึ้นนั้นจะค่อยๆ ลดลงสวนทางกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง การหยุดอัดเงินเข้าระบบของกระทรวงการคลัง และนโยบายการเงินที่ตึงตังมากขึ้นในช่วงสั้นๆ มีแนวโน้มที่จะทำให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกันก็จะเป็นตัวกดเส้นเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนระยะสั้นและยาวให้แบนลง”
ที่ผ่านมาเส้นเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนระยะสั้นและยาวมักถูกใช้เป็นตัวบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ถ้าหากปี 2022 จะได้ชื่อว่าเป็นปีแห่งการฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบจริง ก็ต้องมารอดูกันว่าเส้นเปรียบเทียบฯ ดังกล่าวจะถูกกดให้แบนได้มากน้อยเพียงใด