เผลอเพียงแปปเดียว เราก็ได้เดินทางมาถึงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2021 กันแล้ว ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมีรีวิวดัชนีเอสแอนด์พี 500 และกลุ่มหุ้นบนดัชนีอีก 11 กลุ่ม โดยอ้างอิงจากการแบ่งประเภทกลุ่มอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน (GICS) ตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 25.8% มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ $40 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากกองทุน ETF SPDR® S&P 500 Fund (NYSE:SPY) ที่ใช้ดูความเคลื่อนไหวของดัชนีเอสแอนด์พี 500 อันที่จริงตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ มี ETF ให้ครบสำหรับการลงทุนในกลุ่มหุ้นทั้ง 11 กลุ่ม แต่ในบทความนี้ เราได้คัดมาเฉพาะสามกลุ่ม ที่มีความน่าสนใจที่สุดบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 แล้วกองทุน ETF ที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง บทความนี้จะพาไปดู
1. กลุ่มอุตสาหกรรมบริการสื่อสาร
สำหรับหุ้นกลุ่มนี้ บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการโฆษณา โซเชียลมีเดีย ความบันเทิง และโทรคมนาคมจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นกลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร กำลังกองทุน ETF ที่ใช้วัดการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้มีชื่อว่า Communication Services Select Sector SPDR® Fund (NYSE:XLC)
ปัจจุบัน XLC ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 27 ตัว เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2018 หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 70% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Meta Platforms (NASDAQ:FB) Alphabet (NASDAQ:GOOGL) (NASDAQ:GOOG), AT&T (NYSE:T), Charter Communications (NASDAQ:CHTR), Verizon Communications (NYSE:VZ), T-Mobile US (NASDAQ:TMUS) และ Netflix (NASDAQ:NFLX)
นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน XLC ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 15.7% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมา 9% หลังจากนั้น ปัจจุบัน XLC มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 0.73% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 20.26 และ 3.65 ตามลำดับ นักลงทุนที่ต้องการถือครอง XLC ในระยะยาวสามารถตัดสินใจเข้าซื้อได้ ณ ระดับราคาปัจจุบัน
นอกจาก XLC ยังมีกองทุน ETF ในลักษณะที่คล้ายกันอีกได้แก่
- Vanguard Communication Services Index Fund ETF Shares (NYSE:VOX) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาแล้ว 13.5%
- Invesco S&P 500 Equal Weight Communication Services ETF (NYSE:EWCO) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาแล้ว 14.1%
2. สินค้าอุปโภคบริโภค
ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีความกังวลต่อวัฐจักรเศราฐกิจ นักลงทุนมักจะหันมาให้ความสนใจกับธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค หุ้นในกลุ่มนี้หมายถึงบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ สินค้าคงทน อุปกรณ์สำหรับสร้างบ้าน วัสดุสิ่งทอ ร้านอาหาร โรงแรม คาสิโน โรงภายนตร์ ฯลฯ ETF ที่เราจะมาแนะนำสำหรับหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคคือ Consumer Discretionary Select Sector SPDR® Fund (NYSE:XLY)
XLY อ้างอิงราคามาจากดัชนีเอสแอนด์พี 500 สำหรับหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ปัจจุบันถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 61 ตัว เปิดให้เริ่มต้นลงทุนในเดือนธันวาคมปี 1988 ปัจจุบันถือครองสินทรัพย์อยู่ภายใต้การจัดการทั้งหมด $23,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 70% ของสินทรัพย์ทั้งหมด หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Amazon.com (NASDAQ:AMZN), Tesla (NASDAQ:TSLA), McDonald's (NYSE:MCD), Home Depot (NYSE:HD), Lowe's (NYSE:LOW), Starbucks (NASDAQ:SBUX), Target (NYSE:TGT) และ Booking (NASDAQ:BKNG)
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน XLY มอบผลตอบแทนคืนแก่ผู้ถือหุ้นไปแล้ว 26.4% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน มีเปอร์เซ็นต์การปันผลอยู่ที่ 0.53% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 32.42 และ 8.65 ตามลำดับ นักลงทุนที่สนใจ XLY ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงไปยัง $195 ก่อน จึงจะถือได้ว่าเป็นจุดเข้าที่เหมาะสม
นอกจาก XLY ยังมีกองทุน ETF ในลักษณะที่คล้ายกันอีกได้แก่
- Vanguard Consumer Discretionary Index Fund ETF Shares (NYSE:VCR) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาแล้ว 22.9%
- Fidelity® MSCI Consumer Discretionary Index ETF (NYSE:FDIS) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาแล้ว 22.6%
3. กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น
หุ้นกลุ่มนี้ในยามที่เศรษฐกิจดี มีแนวโน้มเติบโต มักจะไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา อย่างเช่นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หุ้นของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว มักจะกลายเป็นที่พูดถึงอยู่เสมอ กแงทุน ETF ตัวสุดท้ายที่เราจะพูดถึงมีชื่อว่า Consumer Staples Select Sector SPDR® Fund (NYSE:XLP)
XLP อ้างอิงราคามาจากดัชนีเอสแอนด์พี 500 สำหรับหุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็น ปัจจุบันถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 32 ตัว เปิดให้เริ่มต้นลงทุนในเดือนธันวาคมปี 1998 ปัจจุบันถือครองสินทรัพย์อยู่ภายใต้การจัดการทั้งหมด $13,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 75% ของสินทรัพย์ทั้งหมด หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Procter & Gamble (NYSE:PG), Costco Wholesale (NASDAQ:COST), PepsiCo (NASDAQ:PEP), Coca-Cola (NYSE:KO), Mondelez International (NASDAQ:MDLZ) และ Walmart (NYSE:WMT)
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน XLP มอบผลตอบแทนคืนแก่ผู้ถือหุ้นไปแล้ว 11.6% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในวันที่ 16 ธันวาคม มีเปอร์เซ็นต์การปันผลอยู่ที่ 2.33% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 22.34 และ 6.20 ตามลำดับ นักลงทุนที่สนใจ XLP ควรรอให้ราคาปรับตัวลดลงไปยัง $73 ก่อน จึงจะถือได้ว่าเป็นจุดเข้าที่เหมาะสมกับการลงทุนในระยะยาว
นอกจาก XLP ยังมีกองทุน ETF ในลักษณะที่คล้ายกันอีกได้แก่
- Vanguard Consumer Staples Index Fund ETF Shares (NYSE:VDC) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาแล้ว 12.1%
- iShares Global Consumer Staples ETF (NYSE:KXI) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาแล้ว 9.3%