Top Pick เลือก BEC, KBANK (BK:KBANK) และ MCS ตลาดการเงินโลกเข้าสู่ภาวะทรงตัว ในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2564 โดยเห็น กิจกรรมการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงชะลอตัว และมีการพักเงินเข้าในสินทรัพย์ ปลอดภัยอย่างพันธบัตร อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ ระบาดของ Omicron อย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดพบกว่าระบาดใน 106 ประเทศ ขณะที่ประเทศไทยพบการติดเชื้อภายในประเทศ ทำให้ต้องติดตามว่าเมื่อผ่าน เทศกาลเฉลิมฉลองซึ่งมีการเดินทาง และพบปะสังสรรค์ เป็นจำนวนมาก จะมี จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด และ รัฐบาลจะมีมาตรการอะไร ออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ ส่วนความคาดหมายเรื่อง Window Dressing ใน ตลาดหุ้นไทยปีนี้ ดูเหมือนคาดหวังได้ยาก
คาด SET Index อยู่ในกรอบ 1635-3650 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการ เปลี่ยนแปลง โดยให้ถือเงินสด 10% สำรองไว้สะสมหุ้นต้นปี 2565 หุ้น Top Pick เลือก BEC, KBANK และ MCS
Omicron มีแนวโน้มขยายวงกว้าง ตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในโหมด Wait and See ASPS มองว่าโค้งสุดท้ายของสัปดาห์นี้ความเสี่ยงการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicronยัง Overhang ตลาดหุ้นของโลกอยู่ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19ใน หลายประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป, สหรัฐ, ออสเตรเลีย
และยังเป็นที่สังเกตว่าประเทศที่ผู้ติดเชื้อ COVID-19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมักเป็นประเทศ ที่มีสัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron สูงด้วย เช่น ออสเตรเลีย (80.2%), เนเธอร์แลนด์ (75.4%), อังกฤษ (50.6%), สหรัฐ (33.8%), สเปน (29.3%) เป็นต้น
ข้อสังเกตข้างต้นสะท้อนว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นสายพันธุ์ Omicron และถ้าหาก พิจารณาสัดส่วนสายพันธุ์ Omicron พบว่าแม้บางประเทศจะมีสัดส่วนสายพันธุ์ Omicron เพิ่มต่อเนื่อง แต่นับว่ายังค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ Delta ที่เคยมี ราว 90-100% ส่งผลให้สัดส่วนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicronยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อยู่ ซึ่ง ก็จะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ปรับเพิ่มขึ้นไปได้ด้วย ในส่วนของไทย แม้ข้อมูลวันที่ 26 ธ.ค. 2564 รายงานว่าไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,532 ราย ซึ่งยังทรงตัวต่ำ แต่ถ้าพิจารณาจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron พบว่า เริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยข้อมูล ณ วันที่ 23 ธ.ค. 2564 ระบุว่าไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron สะสมแล้ว 205 ราย
ส่วนแนวโน้มการระบาดในไทย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ประเมินว่าในช่วง หลังปีใหม่ 2565 จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น โดยคาดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ อาจกลับไประดับ 1-2 หมื่นรายต่อวัน และสายพันธุ์ Omicron จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น ประมาณ 50% ในช่วงครึ่งหลังของ ม.ค. – ก.พ. 2565 แต่เชื่อว่าจำนวนผู้ป่วยหนักจะมี เพียง 200-400 ราย ซึ่งคาดว่าระบบสาธารณสุขยังรองรับได้
ภาพรวม ความเสี่ยงของจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ต่อในช่วงต้นปี 2565 (หลังเทศกาลปีใหม่) ทั้งทั่วโลกและในไทย ส่งผลให้ความเสี่ยง COVID-19 ยังเป็น ประเด็นที่นักลงทุนยังเฝ้าติดตามต่อไปก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน (Overhang) ดังนั้น ASPS จึงมองว่าตลาดหุ้นโลกและไทยจะอยู่ในภาวะ Wait and See ไปก่อน ในชช่วง ปลายปี 2564 โดยตลาดน่าจะรอประเมินแนวโน้มการระบาด COVID-19 ช่วงหลัง เทศกาลปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อหลังปีใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ ก็อาจ ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกเผชิญแรงกดดันอีกครั้งได้
เปิดฉากรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ กำหนดยื่นซองวันนี้
วันนี้ ( 27 ธค 64) รฟม. เปิดยื่นซองประมูลงานโยธารถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-ราษฏร์ บูรณะ มูลค่า 8.2 หมื่นล้านบาท มีผู้สนใจร่วมซื้อซอง 12 ราย คาดว่าเอกชนน่าจะยื่น ข้อเสนอในลักษณะของกลุ่มกิจการร่วมค้าระหว่างพันธมิตรเนื่องจากมูลค่างานค่อนข้าง สูง สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้จะแบ่งออกเป็น 6 สัญญา ได้แก่งานโครงสร้าง ใต้ดิน 4 สัญญา โครงสร้างยกระดับ 1 สัญญา และงานจ้างออกแบบควบคู่ก่อสร้างงาน ระบบรางอีก 1 สัญญา แต่ละสัญญามูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ยกเว้นสัญญา ระบบรางมูลค่า 3.6 พันล้านบาท มีหลักเกณฑ์พิจารณา 3 ด้าน คือ 1 คุณสมบัติเบื้องต้น 2. ด้านเทคนิค และ 3.ด้านราคา คาดจะใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 3 เดือน จากนั้นจะลง นามสัญญาภายใน 2Q65 ใช้เวลาก่อสร้าง 2,005 วัน เสร็จปลายปี 2570 ถือเป็นข่าว บวกสำหรับกลุ่มรับเหมา โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่อย่าง ITD,CK,STEC และ UNIQ ที่มีศักยภาพเข้าประมูลในฐานะผู้รับเหมาหลัก ส่วนบริษัทรับเหมาขนาดกลาง อย่าง NWR และบริษัทเสาเข็มอย่าง SEAFCO และ PYLON จะได้อานิสงค์ในฐานะ ผู้รับเหมาช่วง ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า CK และ ITD ที่มีประสบการณ์งานก่อสร้างรถไฟใต้ดินมา ก่อน มีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชนะงานใน 4 สัญญาแรก โดยอาจมี STEC ร่วมจับมือเป็น JV ขณะที่ UNIQ ซึ่งไม่มีประสบการณ์ทำงานรถไฟใต้ดินมาก่อน น่าจะมุ่งหวังงานทาง ยกระดับเป็นหลัก ฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ CK (FV@B24 ) และ STEC (FV@B 18) ส่วน ITD และ NWR มีพื้นฐานที่อ่อนแอกว่าและมีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะตัวเช่นการตั้งสำรองด้อย ค่าสินทรัพย์และการปรับประมาณการต้นทุนก่อสร้างบ่อยครั้งทำให้มีอัตรากำไรไม่ สม่ำเสมอ
Window Dressing ในปีนี้ อาจคาดหวังได้น้อยกว่าในอดีต (พาร์ท 1) ชอบ BEC MCS KBANK
ช่วงโค้งสุดท้ายของทุกๆ ปี จะมีความคาดหวังการผลักดันราคาหุ้นด้วย Window Dressing เสมอ สะท้อนได้จากเดือน ธ.ค. มักจะเป็นเดือนที่กองทุนซื้อสุทธิหุ้นไทย สูงสุด อย่างไรก็ตามในปีนี้ Window Dressing อาจคาดหวังได้น้อยกว่าในอดีต สะท้อน ได้จาก 2 ส่วน
1.แรงซื้อหุ้นในเดือน ธ.ค. แผ่วลงหลังมีการยกเลิกสิทธิประโยนชน์ทางภาษีของ LTF(ตั้งแต่ปี 2020) ซึ่งโดยปกติแล้วกองทุนจะซื้อสุทธิเดือน ธ.ค. ราว 1-3 หมื่นล้านบาท
2.ปัจจุบันสัดส่วนการถือเงินสดของกองทุนยังอยู่ในระดับต่ำที่ระดับ 3.2% หรือ 2.2 หมื่นล้านบาท จึงอาจไม่ได้มีแรงหนุนมากมายดังเช่นในอดีต บวกกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด โอไมครอนในประเทศที่ยังไม่มีสัญญาณที่ดี ขึ้น ยิ่งส่งผลให้เม็ดเงินก้อนดังกล่าว ไม่ได้หนุนตลาดหุ้นช่วงท้ายปี ดังเช่นใน อดีต
ทั้ง 2 ส่วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ Window Dressing ปีนี้อาจไม่ได้ร้อนแรง รวมถึง กองทุนเองก็ทราบว่าระยะถัดไปต้องคอยเตรียมเงินไว้สำหรับการ Redeem กองทุน LTF ปี 2559 ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปีหน้า ซึ่งฝ่ายวิจัยฯมีรายละเอียดในการ วิเคราะห์จะมานำเสนอต่อในวันพรุ่งนี้ โดยวันนี้เลือกหุ้นเด่นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว BEC MCS และเลือกหุ้นขนาดใหญ่ Theme Restart Economy อย่าง KBANK เป็น Toppicks
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities